ตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ ดำเนินคดีอาญากับ บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด กับพวก รวม 19 ราย ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ฯลฯ” เป็นคดีพิเศษที่ 119/2567 โดยมีผู้ต้องหาจำนวน 19 ราย เป็นนิติบุคคล 1 ราย คือบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด และมีผู้ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารบริษัทฯ อีก 18 คน ถูกคุมขังระหว่างการสอบสวนที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และทัณฑสถานหญิงกลาง นั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อเวลา 20.35 น. วันที่ 4 ธ.ค. กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) โดยส่วนประชาสัมพันธ์ ได้เผยแพร่ข่าวแจกสื่อมวลชน ระบุใจความ เมื่อเวลา 13.30 น. พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ได้เชิญประชุมคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ประกอบด้วย ร.ต.อ.วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และในฐานะรองหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน และคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ประกอบด้วย พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ พ.ต.ท.อนุรักษ์ โรจนนิรันดร์กิจ ผอ.กองคดีคุ้มครองผู้บริโภค ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ ผอ.กองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ต.ท.จักรกฤษณ์ วิเศษเขตการณ์ ผอ.กองคดีการเงินการธนาคารและการฟอกเงิน นายธานินทร์ เปรมปรีดิ์ ผอ.กองคดีภาษีอากร นายเขมชาติ ประกายหงษ์มณี ผอ.กองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ นางกนกลดา เจริญศรี ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีการเงินฯ พ.ต.ท.อานนท์ อุนทริจันทร์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ และ พ.ต.ท.ภีคเดช จุลพล ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีพิเศษ พร้อมด้วยคณะพนักงานสอบสวนคดีในหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อติดตามความคืบหน้าในการสืบสวนสอบสวน โดยอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ได้แต่งตั้งอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ พ.ต.ท.ประวุธ วงศ์สีนิล อธิบดีกรมพินิจคุ้มครองเด็กและเยาวชน น.ส.กนกไรวินท์ บุรินทร์นันท์ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ อัครเดช วัชรภูพงศ์ รวม 5 ท่าน เป็นที่ปรึกษาคดีพิเศษ ตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 มาตรา 30 เพื่อให้ข้อแนะนำในการดำเนินคดีและการดำเนินการอื่น เพื่อให้การสอบสวนเป็นไปด้วยความรอบคอบ รัดกุม เนื่องจากเป็นคดีที่มีมูลค่าความเสียหายเป็นจำนวนมาก

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีการติดตามความคืบหน้าในการสอบสวน ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐานในส่วนของผู้ต้องหา พยานหลักฐานอื่น สรุปพยานหลักฐาน และจัดทำรายงานการสอบสวน คิดเป็นความก้าวหน้าร้อยละ 90 คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในวันที่ 20 – 25 ธ.ค.67 ก่อนครบกำหนดฝากขังครั้งที่หก ในวันที่ 27 ธ.ค.67 เพื่อให้พนักงานอัยการได้มีเวลาในการพิจารณาสำนวนการสอบสวนอีกไม่น้อยกว่า 12 วัน

นอกจากนั้น ที่ประชุมยังได้พิจารณาประเด็นที่ปรากฏข่าวกรณีมีคลิปเสียงของทนายความของผู้ต้องหาบางคน มีการพูดคุยในกลุ่มลับครอบครัวดิไอคอน ในลักษณะข่มขู่ว่า “รายชื่อผู้กล่าวหาคนที่แจ้งความทั้งหมด จะได้ในสัปดาห์หน้าแน่นอนทางบริษัทพิจารณาดำเนินคดีกับตัวแทนที่ไปแจ้งความทุกคนในข้อหาแจ้งความเท็จและกลั่นแกล้งให้ผู้อื่นรับโทษทางอาญา ใครที่อยู่ฝั่งผู้เสียหาย ให้ฟังไว้” ซึ่งต่อมาปรากฏข้อเท็จจริงว่าก่อนหน้านี้ทนายความดังกล่าวได้ทำหนังสือมาขอรายชื่อพยานจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยอ้างว่าจะช่วยเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ภายหลังมีการออกรายการโทรทัศน์แห่งหนึ่งรับว่าเป็นเสียงของตนเองและชี้แจงสาธารณะว่าการข่มขู่ดังกล่าวเป็นการใช้สิทธิตามปกตินิยม ไม่เป็นความผิดอาญานั้น ที่ประชุมเห็นว่าเมื่อมีบุคคลใดมาให้การเป็นพยานในคดีอาญากับพนักงานสอบสวนไม่ว่าจะเป็นในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือกรมสอบสวนคดีพิเศษ ย่อมต้องได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายคุ้มครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. 2546 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในการที่จะต้องดำเนินการให้พยานได้รับการปกป้องตามกฎหมายด้วย

พฤติกรรมดังกล่าว อันเป็นการกล่าวรวมทำนองว่าจะดำเนินคดีกับพยานทุกคนที่ไปให้การต่อเจ้าหน้าที่รัฐในคดีอาญาฐานแจ้งความเท็จและกลั่นแกล้งให้ผู้อื่นต้องรับโทษในทางอาญา โดยไม่แยกแยะว่าพยานคนใดที่ให้การไม่ตรงความจริง จะดำเนินคดี จึงอาจเป็นกรณีใช้สิทธิเกินขอบเขตตามปกตินิยมของกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นเรื่องที่หมิ่นเหม่ต่อการทำผิดกฎหมายอาญาและเข้าข่ายไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมได้มีมติปฏิเสธการให้รายชื่อพยานเนื่องจากไม่มีสิทธิตามกฎหมาย รวมทั้งมอบให้ กองเทคโนโลยีและศูนย์ข้อมูลการตรวจสอบ เปิดระบบรับแจ้งข้อมูลและเบาะแสจากผู้ที่ได้รับผลกระทบต่อการกระทำดังกล่าวผ่านระบบ QR Code ที่หน้าเว็บไซต์กรมสอบสวนคดีพิเศษ www.dsi.go.th เพื่อจะได้พิจารณาให้เป็นไปตามกฎหมายคุ้มครองพยานในคดีอาญา และมอบหมายให้กองกฎหมาย พิจารณาความเห็นเสนอ เพื่อพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายต่อไป

ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าว เป็นไปเพื่อคุ้มครองพยานในคดีอาญาอันเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวน มิให้มีผู้ใดมารบกวนเสรีภาพในการให้ถ้อยคำต่อเจ้าหน้าที่ อันเป็นหลักประกันในการดำเนินคดีอาญา .