เวลาที่เรารู้สึกคันคอหรือรู้สึกเหมือนมีเสมหะอยู่ในลำคอ เพียงแค่กระแอมเบาๆ อะแฮ่มๆ ก็ช่วยให้อาการคันนั้นหายไปได้ แต่หากกระแอมบ่อยมากเกินไป นอกจากจะทำให้เสียบุคลิกภาพ และอาจสร้างความรำคาญใจแก่คนรอบข้างได้แล้ว อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกโรคที่แฝงอยู่ในร่างกายอีกด้วย

ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล บอกเล่าถึงสาเหตุและลักษณะอาการดังกล่าว พร้อมวิธีรักษา ว่า อาการกระแอม (Chronic Throat Clearing) เป็นอาการที่ร่างกายพยายามกำจัดเสมหะ สารคัดหลั่ง หรือสิ่งแปลกปลอมออกจากบริเวณคอ โดยใช้การเคลื่อนไหวและการสั่นของกล้ามเนื้อบริเวณคอและกล่องเสียง ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดอาการกระแอม ได้แก่ ความเจ็บปวด อาการคัน ระคายเคือง หรือความรู้สึกที่มีอะไรอยู่ในลำคอ อาทิ มีเสมหะในคอ

อาการกระแอมอาจเกิดได้วันละ 2-3 ครั้งในคนปกติ หรืออาจเกิดบ่อยมากถึงหลายครั้งใน 1 ชั่วโมง หรือตลอดทั้งวัน แม้อาการกระแอมจะไม่อันตรายร้ายแรง แต่อาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอาย ไม่มั่นใจ หรือสร้างความรำคาญในการเข้าสังคมกับผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพูด อย่างไรก็ตาม อาการกระแอมอาจเกิดจากโรคร้ายแรงที่ซ่อนอยู่ได้เช่นกัน อาทิ โรคมะเร็งของคอ ถ้าไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆตามมาได้

สาเหตุอาการกระแอม

1. สาเหตุที่เกิดจากระบบทางเดินหายใจ

1.1) โรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ และจมูกอักเสบชนิดไม่แพ้ เนื่องจากเยื่อบุของผู้ป่วยโรคนี้มีความไวผิดปกติ เมื่อสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ หรือสิ่งระคายเคืองต่างๆ จะกระตุ้นต่อมสร้างน้ำมูกในจมูก ซึ่งอาจไหลออกมาทางจมูกส่วนหน้า หรือไหลลงคอ  ซึ่งน้ำมูกที่ไหลลงคอ ก็จะกลายเป็นเสมหะในคอ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการกระแอมได้

1.2) ไซนัสอักเสบ เนื่องจากโรคนี้มีการอักเสบของเยื่อบุจมูกและไซนัส ซึ่งจะกระตุ้นต่อมสร้างน้ำมูกในโพรงจมูก ทำให้มีน้ำมูกไหลลงคอได้ อีกทั้งสารคัดหลั่งที่ออกจากไซนัส อาจผ่านรูเปิดของไซนัสในโพรงจมูกออกมา และไหลลงคอ กลายเป็นเสมหะได้เช่นกัน เสมหะดังกล่าวทำให้เกิดการระคายคอ ผู้ป่วยจึงต้องกระแอม

1.3) โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง และโรคหืด โรคทั้งสองนี้มีการอักเสบเรื้อรังของเยื่อบุหลอดลม ซึ่งสามารถกระตุ้นต่อมสร้างเสมหะในเยื่อบุหลอดลม ทำให้มีเสมหะในหลอดลม และคอ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการกระแอมได้ 

2. สาเหตุที่เกิดจากระบบทางเดินอาหาร

2.1)  ความผิดปกติทางกายวิภาคของคอ อาทิ ต่อมทอนซิลใหญ่มาก ลิ้นไก่ที่ยาวมาก ซึ่งต่อมทอนซิลหรือลิ้นไก่อาจสัมผัสกับฝาปิดกล่องเสียงเวลากลืน เกิดความรู้สึกระคายเคืองบริเวณลำคอ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการกระแอมได้

2.2) การติดเชื้อเรื้อรังบริเวณคอ อาทิ จากเชื้อรา เชื้อวัณโรค เชื้อซิฟิลิส เชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อไวรัส ทำให้เกิดความรู้สึกระคายคอ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการกระแอมได้

2.3)  เกิดจากการระคายเคือง และ/หรือการบาดเจ็บเรื้อรังบริเวณลำคอ อาทิ การสัมผัสสารเคมี, มลพิษ, สารระคายเคือง เนื่องจากอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีสารเคมี  มลพิษ หรือสารระคายเคืองมาก, การสูบบุหรี่, การดื่มเหล้า  เบียร์  หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์, การไอ, การอาเจียนที่บ่อยและเรื้อรัง, เนื้องอกในลำคอ, พังผืด หรือแผลเป็นในลำคอ หรือแม้แต่การที่อยู่ในห้อง หรือสถานที่ที่มีอากาศเย็นมาก อาจทำให้เกิดการระคายเคือง หรือการบาดเจ็บเรื้อรังบริเวณลำคอ หรืออาจกระตุ้นต่อมสร้างเสมหะในคอ ให้ผลิตเสมหะออกมามากกว่าปกติได้   ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการกระแอมได้

2.4) การดื่มน้ำไม่เพียงพอ, อายุที่มากขึ้น หรือเคยได้รับการฉายรังสีบริเวณลำคอมาก่อน อาจทำให้ผนังลำคอแห้ง และก่อให้เกิดการระคายเคืองบริเวณลำคอ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการกระแอมได้

2.5) โรคกรดไหลย้อนขึ้นมาที่คอและกล่องเสียง เมื่อกรดหรือสารที่ไม่ใช่กรด (เช่น น้ำดี) ในกระเพาะอาหาร หรือลำไส้ไหลขึ้นมาที่บริเวณลำคอ จากหลอดอาหาร จะกระตุ้นต่อมสร้างเสมหะในลำคอ ทำให้มีเสมหะในลำคอได้ นอกจากนี้ กรดหรือสารที่ไม่ใช่กรดที่ไหลย้อนขึ้นมาที่คอ จะทำให้เกิดการอักเสบและการระคายเคืองของเยื่อบุลำคอ ทำให้กลไกในการกำจัดเสมหะของเยื่อบุลำคอผิดปกติไป จึงมีเสมหะค้างอยู่ที่ลำคอได้ ส่งผลให้เกิดอาการกระแอม

โรคกรดไหลย้อนมักทำให้ผู้ป่วยมีอาการกระแอมมากขึ้นหลังจากรับประทานอาหาร เนื่องจาก ขณะรับประทานอาหารจะกระตุ้นให้สร้างกรดในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้น และสร้างน้ำลายในปากมากขึ้นด้วย นอกจากนั้นโรคนี้อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการกระแอมขณะนอนหลับได้

2.6) กระเปาะที่ยื่นออกจากหลอดอาหารส่วนบน ซึ่งอาจมีอาหาร น้ำลาย และเมือกค้างอยู่ภายใน เมื่อสิ่งที่อยู่ในกระเปาะดังกล่าวขึ้นมาจากหลอดอาหาร อาจทำให้เกิดการสำลัก หรือมีเสมหะ หรือเมือกในคอ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการกระแอมได้

2.7) แพ้อาหาร เมื่อผู้ป่วยรับประทานอาหารที่แพ้ อาจมีการระคายเคืองของเยื่อบุลำคอ ทำให้มีเสมหะในลำคอ ผู้ป่วยจึงมีอาการกระแอม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม และมีอาหารอื่นๆ ที่อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการกระแอม ได้แก่ ไข่ ข้าว น้ำนมถั่วเหลือง

3. สาเหตุอื่นๆ

3.1) ผลข้างเคียงของยาบางชนิด เช่น Angiotensin-Converting Enzyme Inhibitor (ACEI) ซึ่งเป็นยาที่ใช้รักษาความดันโลหิตสูง ผลข้างเคียงของ ยาชนิดนี้ อาจทำให้รู้สึกคัน ระคายเคืองในคอ ทำให้ผู้ป่วยต้องกระแอมบ่อยๆ หรือไอได้

3.2) ความผิดปกติของระบบประสาท ที่เรียกว่า Nervous TIC เป็นโรคที่มีความผิดปกติของการนำกระแสประสาทไปสู่กล้ามเนื้อบริเวณลำคอ  เมื่อมีการกระตุก หรือการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบริเวณลำคอดังกล่าว อาจทำให้ผู้ป่วยระคายคอ มีอาการกระแอมได้

3.3) การใช้เสียงผิดวิธี การที่ใช้เสียงในการพูดมาก มักทำให้ผู้พูดต้องหายใจทางปาก คล้ายกับการออกกำลังกายให้เหนื่อย ซึ่งจะมีการหายใจทางจมูกและปาก จมูกซึ่งมีหน้าที่ปรับอากาศที่หายใจเข้าไปให้อุ่น และชื้น ขึ้น  และกรองสารระคายเคืองต่างๆในอากาศก่อนเข้าสู่ลำคอ จึงไม่ได้ทำหน้าที่ ทำให้อากาศที่ผ่านลำคอ แห้ง และเย็น ร่างกายอาจปรับตัวด้วยการสร้างเสมหะในคอขึ้นเพิ่มเพื่อให้ผนังคอชุ่มชื้นขึ้น และสารระคายเคืองต่างๆในอากาศ อาจเข้าไปสัมผัสกับลำคอโดยตรง และไปกระตุ้นต่อมสร้างเสมหะให้ทำงานมากขึ้นได้ นอกจากนี้ การใช้เสียงอย่างมากอาจทำให้กล้ามเนื้อบริเวณคอ และกล่องเสียง ถูกใช้งานหนัก เกิดการระคายเคืองบริเวณคอและกล่องเสียงได้ ส่งผลให้มีอาการกระแอมได้

4. สาเหตุจากนิสัย หรือการเรียนรู้ที่ผิดของผู้ป่วย เมื่อผู้ป่วยมีเสมหะในลำคอที่จะต้องกระแอมเพื่อกำจัดเสมหะนั้น ผู้ป่วยจะมีความไวต่อการรู้สึกว่ามีเสมหะในลำคอมากกว่าปกติ ทำให้ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ต้องกระแอมบ่อยๆ แม้มีเสมหะในลำคอไม่มาก และการกระแอมบ่อยๆ จะทำให้เกิดการระคายเคืองของคอ เพิ่มปริมาณเสมหะในคอ รวมถึงสายเสียงของผู้ป่วยจะกระแทกกันมากขึ้น ทำให้สายเสียงบวมและระคายเคืองมากขึ้น ผู้ป่วยยิ่งรู้สึกว่ามีอะไรอยู่ในลำคอ ก็จะยิ่งทำให้ผู้ป่วยต้องกระแอมเพิ่มอีก แต่ถ้าไม่ต้องกระแอมบ่อยมากนัก เสมหะในคอก็จะค่อยๆ ลดลงเอง จนไม่ต้องกระแอมอีกต่อไป

การหาสาเหตุ

1. การซักประวัติ โดยแพทย์จะพยายามซักประวัติอาการทางจมูก และคอ, อาการทางหลอดลม และปอด, นิสัยส่วนตัว, สิ่งแวดล้อม,ยาที่ใช้, การใช้เสียง และอาการที่อาจช่วยบ่งบอกถึงโรคที่เป็นสาเหตุของอาการกระแอม

2. การตรวจร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจจมูก, โพรงหลังจมูก, คอหอยส่วนบน และล่าง, หลอดลม และปอด ซึ่งอาจช่วยในการวินิจฉัยสาเหตุของอาการกระแอม

3. การส่งการสืบค้นเพิ่มเติม ได้แก่

– การส่งเอ็กซเรย์ปอด เพื่อดูว่ามีพยาธิสภาพที่ หลอดลม และปอดหรือไม่

– การส่งเอ็กซเรย์ไซนัส เพื่อดูว่ามีไซนัสอักเสบหรือไม่

 – การทดสอบการทำงานของปอด เพื่อดูว่ามีภาวะหลอดลมไวเกินผิดปกติที่จะบ่งบอกว่าผู้ป่วยเป็นโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง หรือโรคหืดหรือไม่

– การทดสอบภูมิแพ้ เพื่อดูว่าผู้ป่วยแพ้สารก่อภูมิแพ้ใดที่อาจช่วยสนับสนุนว่าผู้ป่วยเป็นโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ หรือโรคหืดหรือไม่

– การส่องกล้องตรวจในระบบทางเดินหายใจ และ/หรือระบบทางเดินอาหารส่วนบน เพื่อหาพยาธิสภาพในระบบทางเดินหายใจส่วนบน และ/ หรือหลอดอาหาร  กระเพาะอาหาร ที่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการกระแอม

– การกลืนแป้ง ถ้าผู้ป่วยมีอาการกลืนลำบาก เพื่อดูว่ามีพยาธิสภาพในหลอดอาหารส่วนบน และล่างหรือไม่

– การตรวจค่าความเป็นกรด/ด่างในลำคอ และหลอดอาหาร เพื่อช่วยวินิจฉัยโรคกรดไหลย้อนขึ้นมาที่คอและกล่องเสียง

การรักษา

รักษาตามสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการกระแอมนั้น เช่น ถ้าเกิดจากผลข้างเคียงของยา ก็ควรจะหยุดยาชนิดนั้น หรือถ้าเกิดจากโรคไซนัสอักเสบ  ก็ให้การรักษาไซนัสอักเสบ กรณีที่สาเหตุเกิดจากการเรียนรู้ที่ผิดของผู้ป่วย อาจต้องปรึกษานักแก้ไขการพูดหรือนักฝึกพูด

วิธีที่ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอยากจะกระแอมน้อยลง ซึ่งอาจทำได้โดย

– ให้สูดหายใจอย่างเร็ว และแรง เข้าไปในคอ และกลืนเสมหะลงไป วิธีนี้เป็นการกำจัดความรู้สึกว่ามีอะไรในคอที่ดีที่สุด

– ให้หยุด อย่ากระแอม ให้ดื่มน้ำแทน ดังนั้นควรพกขวดน้ำติดตัวเสมอ น้ำเป็นยาละลายเสมหะที่ดีที่สุด การดื่มน้ำจะทำให้เสมหะในลำคอเหนียวน้อยลง และถูกกำจัดได้ง่ายขึ้น

–  ให้อมลูกอมที่ไม่มีสารเมนทอล เพราะจะช่วยเพิ่มน้ำลายและความชุ่มชื้นให้กับลำคอ

–  พยายามกลืนไปเรื่อยๆ ราวกับว่าผู้ป่วยมีอะไรอยู่ในลำคอ จะช่วยลดความรู้สึกว่ามีอะไรอยู่ในลำคอลงได้

– เมื่อผู้ป่วยต้องการจะกระแอม ให้ทำได้ แต่ควรทำด้วยความนุ่มนวล ทำเงียบๆ อย่าให้มีเสียงดัง ไม่กระแอมแรง ซึ่งอาจเกิดการบาดเจ็บต่อสายเสียงซึ่งมีขนาดเล็กได้ง่าย  ให้ผู้ป่วยปิดปาก และกระแอมช้าๆเพียง 1-2 ครั้ง เพราะจะทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อสายเสียงน้อยที่สุด

ให้กลั้วคอด้วยน้ำโซดาแช่เย็นที่ไม่มีน้ำตาล

– ในหน้าหนาว หรืออยู่ในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศเป็นเวลานาน ควรใช้เครื่องปรับอากาศให้อุ่นและชื้นขึ้น หรือดื่มน้ำให้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้เยื่อบุลำคอที่แห้ง และระคายเคืองดีขึ้น

– ถ้าต้องพูดบรรยาย หรือพูดเป็นระยะเวลานานต่อหน้าผู้คน อาจทำให้ปาก และคอแห้ง  ควรจิบน้ำอุ่นผสมน้ำมะนาวและน้ำผึ้งบ่อยๆ

 – ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารมัน หรือผลิตภัณฑ์จากนม เพราะจะทำให้เพิ่มเสมหะหรือเมือกมากขึ้นและข้นขึ้น.