เมื่อวันที่ 27 พ.ย. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่งกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ควบคุมตัว น.ส.ปิณฑิรา หรือดาว การิวัลย์ อายุ 43 ปี พี่สาวภรรยาทนายตั้ม ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ในความผิดฐาน “ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน” มายื่นคำร้องฝากขังครั้งแรกต่อศาลอาญาเป็นเวลา 12 วัน

หิ้ว ‘พี่สาวเมียทนายตั้ม’ ฝากขังศาลอาญา พร้อมค้านประกันตัวหวั่นไปยุ่งเหยิงหลักฐาน

พฤติการณ์แห่งคดีคือ ก่อนเกิดเหตุ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือเจ๊อ้อย ผู้เสียหาย ได้ว่าจ้าง นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ให้เป็นที่ปรึกษากฎหมาย ต่อมานายษิทราได้หลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งและโดยการหลอกลวงดังว่านั้น เป็นเหตุให้ผู้เสียหาย หลงเชื่อส่งมอบเงินให้กับนายษิทรา หลายเรื่องหลายครั้งต่างกรรมต่างวาระกัน พฤติการณ์และการกระทำของนายษิทรา กับพวก ถือว่าเป็นความผิดฐานฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ และเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ได้ทำการสืบสวนพบว่านายษิทรา กับพวก ได้มีการกระทำต่อทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดดังกล่าว ซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงิน ดังต่อไปนี้

1.กรณีที่น.ส.จตุพร ได้โอนเงินจำนวน 9 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าว่าจ้างออกแบบการก่อสร้างโรงแรม ไปเข้าบัญชีธนาคารของนางพจมาน ตามที่นายษิทรา หลอกลวงดังกล่าว จากการสืบสวนพบว่าต่อมานางพจมาน และนายเขมวัฒน์ ได้เบิกถอนเงินสดจำนวนดังกล่าวนำไปมอบให้กับนายษิทรา ตามคำสั่งของนายษิทรา แล้วนายษิทรา ได้แบ่งเงินสดดังกล่าวใส่ซองกระดาษ แล้วนำไปมอบให้กับ น.ส.ปิณฑิรา ผู้ต้องหา แล้วผู้ต้องหาได้นำเงินสดจำนวน 1 ล้านบาท ที่ได้รับมาดังกล่าว ไปทำธุรกรรมฝากเงินสดเข้าบัญชีธนาคารของผู้ต้องหา

2.กรณีที่ น.ส.จตุพรได้ซื้อแคชเชียร์เช็คธนาคารกรุงศรีอยุธยา สั่งจ่ายเงินจำนวน 39 ล้านบาท ให้กับ น.ส.สารินี ตามที่ได้ถูกนายษิทรา นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ร่วมกันหลอกลวงว่ากระเป๋าเงินดิจิตอลถูกระงับ แล้วนายนุวัฒน์ กับน.ส.สารินี ได้นำแคชเชียร์เช็คดังกล่าวฝากเข้าบัญชีธนาคารของน.ส.สารินี นั้น จากการสืบสวนพบว่าต่อมานายษิทรา ได้แจ้งให้ผู้ต้องหา นำกระเป๋าเดินทางไปพบนายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อไปรับเงินสดจำนวนดังกล่าว แล้วผู้ต้องหา ได้แจ้งให้คนขับรถของนายษิทราขับรถยนต์พาผู้ต้องหา พร้อมกับกระเป๋าเดินทางไปที่ห้างสรรพสินค้า เมื่อไปถึงผู้ต้องหาได้สั่งการให้คนขับรถนำกระเป๋าเดินทางไปพบนายนุวัฒน์ ภายในธนาคารแห่งหนึ่งสาขาเซ็นทรัล ลาดพร้าว ส่วนผู้ต้องหา ยืนรออยู่บริเวณหน้าธนาคารดังกล่าว โดยนายนุวัฒน์ และน.ส.สารินี ได้เบิกถอนเงินสดจำนวน 39 ล้านบาท ออกจากบัญชีธนาคารของน.ส.สารินี แล้วมอบเงินสด จำนวน 20 มัด คิดเป็นเงินรวม 20 ล้านบาท ให้กับคนขับรถเพื่อบรรจุใส่ในกระเป๋าเดินทางดังกล่าว จากนั้นผู้ต้องหาได้สั่งการให้คนขับรถขับรถยนต์พาผู้ต้องหาพร้อมกระเป๋าเดินทางที่บรรจุเงินจำนวนดังกล่าวกลับบ้านพักที่ผู้ต้องหา และนายษิทราพักอาศัยอยู่ด้วยกัน แล้วนำกระเป๋าเดินทางดังกล่าวไปเก็บไว้ภายในบ้านพักบริเวณหน้าบันไดชั้นที่ 2 ของบ้าน

พฤติการณ์และการกระทำของนายษิทรา, นายนุวัฒน์, น.ส.สารินี และผู้ต้องหาดังกล่าว จึงเป็นการโอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพื่อซุกซ่อน หรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้นเพื่อปกปิดอำพรางลักษณะที่แท้จริง การได้มา แหล่งที่ตั้ง การจำหน่าย การโอน การได้สิทธิใดๆ ซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดด้วย การกระทำของผู้ต้องหาเป็นความผิดฐาน “ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน” อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ มาตรา 3(18), มาตรา 5, 9 วรรคสอง และมาตรา 60 แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับ 4) พ.ศ. 2556 ประกอบ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83

พนักงานสอบสวนยังทำการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น เนื่องจากต้องสอบสวนพยานอีก 10 ปาก พยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง และเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้จับกุม ตรวจค้นรอผลการตรวจพิสูจน์ของกลาง รอผลการตรวจลายพิมพ์นิ้วมือและประวัติการต้องโทษของผู้ต้องหา หากผู้ต้องหา ขอให้ปล่อยชั่วคราว พนักงานสอบสวนขอคัดค้าน

1.เนื่องจากคดีที่ผู้ต้องหา ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดนี้ มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงถึง 10 ปี
2.ผู้ต้องหามีการกระทำต่อทรัพย์สินเป็นเงินที่ได้มาจากการฉ้อโกงผู้เสียหาย จำนวนสูงถึง 39 ล้านบาท ในลักษณะเป็นการโอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินดังกล่าวต่อไปอีก โดยมีเจตนาเพื่อซุกซ่อน หรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินดังกล่าวเพื่อให้ยากต่อการสอบสวนและติดตามทรัพย์สินนั้น
3.ก่อนที่ผู้ต้องหา จะถูกจับกุมตัว มีการเปลี่ยนเครื่องและหมายเลขโทรศัพท์ใหม่ ตามคำสั่งของนายษิทรา เจตนาเพื่อให้ยากต่อการติดตามตัวและเป็นการทำลายหลักฐานการติดต่อ รวมทั้งข้อมูลอื่นๆ ซึ่งเป็นพยานหลักฐานสำคัญในคดีที่มีอยู่ในโทรศัพท์
4.ผู้ต้องหาเคยให้การในฐานะพยาน อ้างถิ่นที่อยู่ว่า เมื่อวันที่ 29 พ.ค. 2556 เวลา 17.00 น.(วันเกิดเหตุ) ผู้ต้องหาได้ไปรับบุตรของนายษิทรา ที่โรงเรียน โดยมีการนำภาพถ่ายสถานที่จากโทรศัพท์มือถือของบุตรนายพิทรา มาอ้างใช้เป็นพยานหลักฐานประกอบคำให้การ แต่ข้อเท็จจริงจากการสอบสวนได้ความว่าผู้ต้องหาไม่ได้ไปรับบุตรของนายษิทราตามวันเวลาดังกล่าวแต่อย่างใด
5.จากการตรวจค้นบ้านพักของนายษิทรา ที่ผู้ต้องหาอาศัยอยู่ด้วย พบมีร่องรอยการขนย้ายทรัพย์สินออกจากตู้นิรภัย ซึ่งบุคคลที่รู้รหัสและสามารถเปิดตู้นิรภัยดังกล่าวได้มีเพียงนายษิทรา, นางสาวปทิตตา เบี้ยบังเกิด (ภรรยาของนายษิทรา) และผู้ต้องหาเท่านั้น จึงเชื่อว่าผู้ต้องหานี้มีส่วนรู้เห็นในการขนย้ายทรัพย์สินต่างๆ ออกไปจากตู้นิรภัยด้วย ทำให้ยากต่อการติดตามทรัพย์สิน

จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น หากผู้ต้องหาได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวไป เชื่อว่าผู้ต้องหาน่าจะหลบหนี หรือจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน

นอกจากนี้ท้ายคำร้องผู้เสียหายขอคัดค้านการประกันตัวเนื่องจากคดีมีอัตราโทษจำคุกและมูลค่าความเสียหายสูง หากผู้ต้องหาได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวไป เกรงว่าจะหลบหนี ซึ่งจะส่งผลให้ผู้เสียหายไม่ได้รับชดใช้ค่าเสียหายในคดีพยานสำคัญในคดี ศาลอาญาพิจารณาคำร้องและสอบถามผู้ต้องหาทั้งสองแล้ว ไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้ฝากขัง

ต่อมาในช่วงเย็น ภายหลังศาลรับฝากขัง น.ส.ปิณฑิรา หรือดาว การิวัลย์ อายุ 43 ปี พี่สาวภรรยาทนายตั้ม โดยผู้ต้องหายื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ 1 ล้านบาท ขอปล่อยชั่วคราว ระหว่างฝากขัง ศาลพิจารณาคำร้องแล้วอนุญาตปล่อยชั่วคราว โดยกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศเว้นได้รับอนุญาตจากศาล

โดยภายหลังได้รับการปล่อยชั่วคราว น.ส.ปิณฑิรา เดินทางกลับโดยไม่ได้ปรากฏตัวต่อสื่อมวลชนที่รอทำข่าวอยู่ที่ศาลอาญา