สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 27 พ.ย. ว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ เสนอชื่อนายเจมีสัน เกรียร์ ให้เข้ารับการพิจารณาคุณสมบัติจากวุฒิสภา ในตำแหน่งผู้แทนเจรจาการค้าของรัฐบาลวอชิงตัน
ทั้งนี้ เกรียร์ “ไม่ใช่บุคคลแปลกหน้า” ในแวดวงการค้าของสหรัฐ โดยทำหน้าที่เป็นหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ของสำนักงานผู้แทนการค้า ในยุครัฐบาลทรัมป์สมัยแรก ซึ่งมีนายโรเบิร์ต ไลธิเซอร์ เป็นผู้แทนเจรจาการค้าของสหรัฐ
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังเสนอชื่อนายเควิน แฮสเซตต์ อดีตที่ปรึกษาด้านนโยบายเศรษฐกิจ ในยุครัฐบาลทรัมป์สมัยแรก ให้เข้ารับการพิจารณาคุณสมบัติจากวุฒิสภา ในตำแหน่งประธานสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ
การประกาศดังกล่าวของทรัมป์ เท่ากับว่า ว่าที่ผู้นำสหรัฐเสนอชื่อผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญด้านเศรษฐกิจครบแล้ว รวมถึง นายสกอตต์ เบสเซนต์ ในตำแหน่ง รมว.การคลัง และนายโฮเวิร์ด ลุตนิก ในตำแหน่ง รมว.พาณิชย์
ขณะที่ทรัมป์ประกาศเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านั้น ว่าหนึ่งในอำนาจบริหารที่ตัวเขาจะลงนามให้มีผลบังคับใช้ทันที เมื่อเข้ารับตำแหน่งผู้นำประเทศเป็นสมัยที่สอง ในวันที่ 20 ม.ค. 2568 คือการขึ้นภาษี “สินค้าทุกชนิด” จากแคนาดาและเม็กซิโก ในอัตรา 25% โดยให้เหตุผลเกี่ยวกับนโยบายของทั้งสองประเทศ ในการควบคุมผู้อพยพผิดกฎหมาย
ขณะเดียวกัน ทรัมป์กล่าวว่า สินค้าทุกชนิดที่จะมีการส่งออกจากจีนมายังสหรัฐ ต้องเผชิญกับอัตราภาษีเพิ่มอีก 10% เนื่องจาก “ความล้มเหลว” ของรัฐบาลปักกิ่ง ในการปราบปรามเฟนทานิล
อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้เชี่ยวชาญกล่าวไปในทางเดียวกัน ว่าการขึ้นภาษีดังกล่าว อาจยิ่งเป็นการเพิ่มอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐ และส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของอเมริกาเอง เพราะผู้ประกอบการของสหรัฐ คือผู้ที่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเหล่านั้นให้กับรัฐบาลกลาง เนื่องจากเป็นผู้นำเข้าสินค้า.
เครดิตภาพ : AFP