หนึ่งในภัยเงียบสุดอันตรายต่อร่างกายคนเรา คือ ภาวะ “ไขมันพอกตับ” ซึ่งหากปล่อยไว้นาน ไม่ได้สังเกตอาการผิดปกติของร่างกาย และไม่เคยตรวจสุขภาพเลย “ตับ” จะเริ่มเกิดการอักเสบจนทำให้เกิดตับแข็ง และบานปลายรุนแรงส่งผลให้การทำงานของตับลดลงจนนำไปสู่โรคร้ายอย่างมะเร็งตับ
“โรงพยาบาลศิครินทร์” บอกเล่าสาระความรู้เกี่ยวกับ “ไขมันพอกตับ (Fatty Liver Disease)” ว่า เป็นภาวะที่ไขมันเข้าไปแทรกที่เซลล์ของตับ โดยที่ร่างกายไม่สามารถนำไขมันที่เรารับประทานไปใช้ได้หมด จนทำให้เกิดการสะสมอยู่ที่ตับเป็นจำนวนมาก โดยไขมันส่วนใหญ่นั้นจะอยู่ในรูปของไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งมาจากอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล และไขมัน ซึ่งหากสะสมมากกว่า 5-10 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตับ จะทำให้ตับเกิดการอักเสบ หรือเซลล์ตับตาย และเกิดพังผืดภายในตับ จนกลายเป็นโรคตับแข็งในที่สุด
สาเหตุของ “ไขมันพอกตับ” มาจากอะไร
1.ภาวะโรคอ้วน เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง เสี่ยงเป็นไขมันพอกตับ และนำไปสู่โรคมะเร็งตับได้
2.รับประทานอาหารปนเปื้อน อาทิ สารอะฟลาท็อกซิน (Aflatoxin) หรือเชื้อรา ที่พบมากในถั่วลิสง ธัญพืช พริกแห้ง กระเทียม
3.ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี หรือซี เรื้อรัง
4.พฤติกรรมการรับประทาน อาทิ รับประทานอาหารปิ้งย่างบ่อยเกินไป อาหารประเภทของทอด ของมัน ขนมนมเนย และเครื่องดื่มที่มีรสหวานเป็นประจำ
5.ดื่มแอลกอฮอล์ติดต่อกันในปริมาณมาก จนตับไม่สามารถทำงานได้ปกติ และเกิดการสะสมของไขมันที่ตับ
พฤติกรรมเสี่ยงเหล่านี้จะเข้าไปทำลายเซลล์ตับ และทำให้ตับเกิดการกระตุ้นให้มีไขมันสะสมในตับมากขึ้นจนกลายเป็นไขมันพอกตับ
สังเกตอาการเตือนโรคตับ
1.เหนื่อย อ่อนเพลีย
2.ผิวเหลือง ตาเหลือง
3.ปัสสาวะสีเข้ม
4.ท้องอืด เหมือนมีแก๊สในกระเพาะ
5.คลื่นไส้อาเจียน
6.ไม่ค่อยอยากรับประทานอาหาร
7.ปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ หรือใต้ชายโครงขวา
การป้องกัน “ไขมันพอกตับ”
1.เน้นกินพวกผักใบเขียว ข้าวกล้อง ธัญพืช แตงโม เต้าหู้ขาว ไขมันดี
2.งดดื่มน้ำอัดลม ชาเย็น กาแฟ และน้ำหวาน
3.เลี่ยงอาหารที่มีฟรุกโตสสูง, อาหารไขมันสูง, ขนมขบเคี้ยว, อาหารพวกคาร์โบไฮเดรต
“ไขมันพอกตับ” ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการแสดง แต่ถ้ามีภาวะในระยะยาว เป็นปีหรือเป็นสิบปี อาจทำให้มีอาการแสดง และเกิดภาวะตับแข็ง รวมถึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวาน โรคอ้วน และโรคมะเร็ง ดังนั้น เราจึงควรตรวจสุขภาพประจำปี และตรวจสุขภาพตับเพื่อป้องกันการเกิดโรค.