นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวปาฐพิเศษ เรื่อง “การสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของไทย” ในงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 42 ที่สวนนงนุช จ.ชลบุรี ว่า ความมั่นคงของเศรษฐกิจไทย ต้องได้มาจากการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศและต้องจัดการกับ ความท้าทายที่เข้ามากระทบภายในประเทศ ประกอบด้วย 3 ข้อ คือ 1. ต้องบริหารความเสี่ยงจากความมั่นคงของประเทศที่สั่นคอนโดยเห็นได้จากสงครามระหว่างประเทศ 2.นโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐ คนใหม่นายโดนัลด์ ทรัมป์ และ3.ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐ ที่เสื่อมลงในช่วง 2-3 ปีหลังที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ยังมีปัญหาที่ไทยต้องรอการแก้ไขของประเทศไทย 6 ปัญหาหลัก ได้แก่
- หนี้ครัวเรือนและหนี้ SMEs ที่มีระดับสูง ทำให้กำลังซื้อในประเทศลดลง เพิ่มความเหลื่อมล้ำในประเทศ
- ประชาชนไทย เข้าสู่สังคมสูงอายุทำให้ GDP มีแนวโน้มขยายตัวช้าลง 0.8-1% ต่อปี และขาดแคลนแรงงานมากเกิน ภาระในการดูแลผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น
- คุณภาพของการศึกษาถดถอยลงมาโดยตลอด
- ภาคเกษตรขาดประสิทธิภาพ ผลผลิตต่ำคิดเป็น 9% ของ GDP
- ราคาพลังงานแพงกว่าประเทศคู่แข่ง และการพึ่งพาการนำเข้าแก๊สธรรมชาติและน้ำมันดิบเป็นสัดส่วนที่สูงถึง 9% ของ GDP ส่งผลให้ประเทศไทยจะเผชิญความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์
- การขาดดุลงบประมาณ สัดส่วนการจัดเก็บภาษีลดลง 15% ของ GDP แต่รายได้ประจำเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ยังประสบความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางการเมืองส่งผลต่อนโยบายทางเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงและความต่อเนื่องของการดำเนินนโยบาย
ส่วนปัญหาใหม่ที่ประเทศไทยต้องประสบจาก 2 มหาอำนาจระหว่างจีน-สหรัฐ ในส่วนของประเทศจีน กำลังพลิกฟื้นเศรษฐกิจโดยการเร่งส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ให้ความสำคัญกับการกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศเป็นเรื่องรอง โดยมุ่งเน้นส่วนแบ่งตลาดการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีของทุกประเทศ ส่งผลให้กดดันกำลังการผลิตและการส่งออกสินค้าของประเทศไทยด้วย
โดยนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ จะมีนโยบายและมาตรการกีดกันทางการค้าที่ชัดเจน ซึ่งประเทศไทยจะอยู่ในประเทศที่เกินดุลของสหรัฐ ถึง 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตลาดสหรัฐ เป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ของประเทศไทย คิดเป็นมูลค่า 10% ของจีดีพี ซึ่งนายทรัมป์ มองว่า การที่ประเทศต่าง ๆ เกินดุลการค้ากับสหรัฐ เป็นการที่สหรัฐ ถูกเอาเปรียบ ถูกโกงจากประเทศต่าง ๆ โดยจะมีนโยบายการปรับภาษีนำเข้าจากประเทศเกินดุล 10-20% และจะเก็บภาษีนำเข้าจากประเทศจีนสูงถึง 60% รองลงมา คือสหภาพยุโรป เกินดุลการค้ากับสหรัฐ มากกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทย เกินดุลการค้ากับสหรัฐ เป็นอันดับที่ 12 และขึ้นบัญชีประเทศไทยแล้ว
ทั้งนี้ สหรัฐจะมีการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 10-20% และจะมีการเจรจากับประเทศต่าง ๆ เป็นกรณีไป และประเทศไทย เก็บภาษีศุลกากรนำเข้าเฉลี่ยจากสหรัฐ ประมาณ 9.7% โดยจะถูกจับตามองเป็นพิเศษโดยเฉพาะสินค้าเกษตรของประเทศไทยที่เก็บภาษีผักผลไม้นำเข้าจากสหรัฐ สูงเป็นพิเศษ 20-30% อีกทั้ง ประเทศไทยได้มีการห้ามนำเข้าเนื้อหมู เนื้อวัว โดยอ้างถึงสารเนื้อแดง ทำให้สหรัฐ ตัดสิทธิ GSP ไทยเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ประเทศไทยเป็นเป้าจากนโยบายการเก็บภาษีสินค้านำเข้าของประธานาธิบดีสหรัฐ พร้อมกันนี้ นายสก็อตต์ เบสเซน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐ ได้ให้สัมภาษณ์ว่านโยบายการเก็บภาษีศุลกากรจะสร้างอำนาจต่อรองของสหรัฐ กับนานาประเทศ ซึ่งจะสอดคล้องและส่งผลกระทบกับประเทศไทยโดยตรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อีกทั้ง ความเสี่ยงที่จะการเกิดสงครามการค้าโดยรวมของทั่วโลกจะทำให้การค้าหดตัวลง โดยหากเกิดขึ้น จะกระทบกับประเทศไทย เนื่องจากพึ่งพาการส่งออกถึง 50% ของ GDP ซึ่งผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากนโยบายของสหรัฐ คือ ผลกระทบด้านความมั่นคงและด้านดอกเบี้ยกับประเทศไทย ในส่วนด้านความมั่นคงนั้น สหรัฐต้องการให้ประเทศพันธมิตรจ่ายเงินสนับสนุนการป้องกันประเทศของตนเองเพิ่มมากขึ้น เพื่อลดภาระทางทหารของสหรัฐ ตลอดจนนโยบายการเพิ่มภาษี และนโยบายการเนรเทศคนต่างด้าว 11 ล้านคน ของนายทรัมป์ จะทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น เงินเฟ้อลดลงช้า ดอกเบี้ยสูงขึ้น และนโยบายการลดภาษีนิติบุคคลและการลดภาษีคนรวยจะส่งผลให้ขาดดุลงบประมาณและดอกเบี้ยระยะยาวสูงขึ้น สิ่งเหล่านี้กระทบประเทศไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม
สำหรับปัญหาที่คั่งค้างของประเทศไทย ทั้งปัญหาหนี้สินครัวเรือนและหนี้สาธารณะในระดับสูง และข้อจำกัดของนโยบายการคลัง โดยแนวทางในการจะแก้ไขของประเทศไทย คือ ต้องทำให้ GDP ของประเทศเติบโตได้อย่างเร็ว ทั้งจากปัจจัยภายนอกประเทศที่ต้องพยายามป้องกันภัยคุกคามต่าง ๆ และปัจจัยในประเทศ คือ ความพยายามในการจะเพิ่มประสิทธิภาพปัจจัยการผลิต โดยเฉพาะการนำเข้าพลังงานที่ควบคุมได้ยาก ซึ่งประเทศไทย ต้องเร่งลงทุนพลังงานแสงอาทิตย์ การลงทุนสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ตลอดจนการทำให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงและสามารถทำงานได้นานขึ้น หรือเสียชีวิตเร็วเพื่อลดภาระในการดูแล เป็นต้น
การทำมาหากินในยุคที่ประเทศมหาอำนาจอย่างจีนและสหรัฐ มีความขัดแย่งกันนั้น ผลการวิจัยของอโกด้า ทำให้ทราบถึงโอกาสในการสร้างรายได้ให้กับประเทศไทย จากการประกาศกฎหมายสมรสเท่าเทียม ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวมากขึ้น โดยการที่นักท่องเที่ยวมาท่องเที่ยวในเมืองไทย เนื่องจากมีความรู้สึกสบายใจ และเป็นตัวของตัวเอง มีเสรีภาพ มีความสุข สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จึงถือเป็น Soft Power ของไทยอย่างแท้จริง
หากพิจารณาถึงกลยุทธ์ในการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของไทยจากการจัดลำดับซอฟต์พาวเวอร์ของไทย พบว่า ประเทศไทยมีจุดแข็ง ได้แก่ ความคุ้นเคย ชื่อเสียง ธุรกิจและการค้า มรดกทางวัฒนธรรม ผู้คนและค่านิยมของคนไทย ในส่วนจุดอ่อน ได้แก่ การศึกษาและธรรมาภิบาล เป็นต้น พร้อมทั้งอาหารก็ถือเป็นจุดเด่นอีกหนึ่งอย่างของประเทศไทย ที่จะต้องพยายามสร้างประสบการณ์และเน้นการให้บริการที่มีมูลค่าสูง สำหรับภาคบริการทุกประเทศในโลก ผ่านการพัฒนาเศรษฐกิจที่พึ่งพาภาคเกษตรกรรมและภาคอุตสาหกรรมเป็นหลักจะปรับเปลี่ยนมาเป็นการพึ่งพาภาคบริการที่มากยิ่งขึ้น
เห็นได้จากมูลค่าภาคบริการ เช่น สหรัฐ คิดเป็น 70% ของ GDP ขณะที่ประเทศไทย คิดเป็น 58.5% ของ GDP และจีน คิดเป็น 54.6% ของ GDP เป็นต้น โดยภาคอุตสาหกรรม จะต้องหันมาพัฒนาในกลุ่มเฉพาะทางและมีความสามารถในการแข่งขัน เช่น อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ การผลิตเครื่องมือแพทย์ อาหารเชิงสุขภาพ บรรจุภัณฑ์ เครื่องสำอาง ผ้าไหม แฟชั่นเมืองร้อน ซึ่งต้องพัฒนาคุณภาพให้ตรงความต้องการของตลาดเพิ่มมากขึ้น
“สุดท้ายประเทศไทยจะต้องพึ่งพาจุดแข็งด้านซอฟต์พาวเวอร์ ด้วยการแปลงสิ่งที่เป็นนามธรรมให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของไทย ให้เติบโตและสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน”