เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 23 พ.ย. 67 ที่ คลังสินค้า บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จํากัด 18/165 ถนนประเสริฐมนูกิจ แขวงนวมินทร์ เขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานคร ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ หรือเชน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด พร้อมด้วยนายอัครวุฒิ จงสุจริตธรรม และนายสรวิศ สืบสุข ทนายความ ร่วมกันเปิดคลังสินค้าเพื่อชี้แจงประเด็นข้อพิพาทระหว่าง บริษัท อมาโด้กรุ๊ป จํากัด และบริษัทคู่กรณี พร้อมเชิญสื่อมวลชนร่วมตรวจนับสินค้าที่มีข้อพิพาท จํานวน 4,904,202 ซอง
นายธนาตรัยฉัตร เปิดเผยว่า วันนี้ตนมาพูดในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหารฯ ไม่ได้พูดในฐานะส่วนตัว และตนจะชี้แจง 2 ประเด็น คือ 1.ประเด็นข้อพิพาทกับบริษัทแห่งหนึ่ง และ 2.ขอพาสื่อชมคลังเก็บสินค้า จำนวน 4.9 ล้านชิ้น ส่วนสาเหตุที่ยังไม่ชำระหนี้ดังกล่าวกับคู่กรณีเพราะเนื่องด้วย 3 ปัจจัย ประกอบด้วย สาเหตุแรกเนื่องจากการสั่งซื้อสินค้าลอตที่ 2 เมื่อวันที่ 9 มี.ค. 64 จำนวน 4,500,000 ซอง ซึ่งมีกำหนดต้องได้รับสินค้าในเดือน มิ.ย. 64 แต่เมื่อวันที่ 24 มี.ค. 64 พบว่าสินค้าที่ได้สั่งซื้อไปกับบริษัทคู่กรณีเป็นสินค้าไม่ตรงกับสรรพคุณที่เสนอขายไว้ ทำให้ทางบริษัทของตน ไม่สามารถยื่นขอใบอนุญาตจัดทำฉลากและกล่องบรรจุภัณฑ์ รวมถึงการโฆษณาขายสินค้าออนไลน์และจำหน่ายทุกประเภท ประกอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าง อย. ได้ส่งเอกสารแจ้งมายังบริษัทตนเองว่ากล่องบรรจุภัณฑ์ไม่ถูกต้อง ตนในฐานะผู้บริหาร จึงจำเป็นต้องเรียกสินค้าเก่าที่จำหน่ายไปแล้วทั่วประเทศกลับมา ซึ่งสินค้าจำหน่ายไปแล้วเป็นสินค้าลอตแรกที่สั่งจากบริษัทคู่กรณี เพื่อทำการแก้ไขกล่อง แต่จนถึงขณะนี้ อย. ก็ยังไม่อนุญาต เนื่องจากผลการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ไม่ได้คุณภาพตามที่บริษัทเสนอขาย จึงทำให้เกิดความล่าช้าของการจำหน่ายสินค้าออกไปอีก
นายธนาตรัยฉัตร กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาบริษัทของตนเอง และบริษัทคู่กรณีได้มีการพูดคุยเจรจากันมาโดยตลอด กระทั่งบริษัทคู่กรณีตัดสินใจยื่นคำร้องขออนุญาต อย. เรื่องการโฆษณาและฉลากผลิตภัณฑ์ให้ แต่ก็ไม่สำเร็จอีกเช่นกัน ทำให้บริษัทของตนเองไม่สามารถโฆษณาและจำหน่ายสินค้าได้ จึงยังไม่มีเงินไปชำระค่าสินค้าดังกล่าว อีกทั้งตนมองว่าสินค้าไม่ตรงตามที่โฆษณาเสนอขายไว้ เมื่อตกลงกันไม่ได้ตนจึงตัดสินใจยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ขอให้ศาลเป็นผู้พิจารณาว่าคู่กรณีผิดสัญญาซื้อขาย และขอยกเลิกสัญญา พร้อมขอให้คู่กรณีนำสินค้าคืนทั้งหมด ขณะที่คู่กรณีมีการยื่นคำร้องโต้แย้งขอให้ศาลมีคำสั่งให้บริษัทของตนชำระหนี้ ซึ่งศาลพิพากษาให้คู่กรณีชนะ ตนจึงได้ทำการยื่นอุทธรณ์ต่อ ขอให้ศาลพิจารณาว่าคู่กรณีโฆษณาสินค้าเกินจริงใช่หรือไม่ ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ซึ่งหากศาลอุธรณ์พิพากษาว่าตนแพ้คดี ก็พร้อมยอมรับและจะชำระหนี้ แต่หากคู่กรณีแพ้ ก็ต้องรับคืนสินค้าทั้งหมดไป
นายธนาตรัยฉัตร กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม สินค้ากว่า 4,904,202 ซอง ยังคงอยู่ในคลังสินค้าของบริษัทฯ ไม่มีการจำหน่ายออกไปแม้แต่ซองเดียว ซึ่งก่อนหน้านี้ตำรวจกองบังคับการปราบปราม รวมถึงบริษัทคู่กรณีก็ได้เข้ามาทำการตรวจสอบแล้ว ทั้งนี้ สำหรับการแถลงข่าวในวันนี้ ตนแค่ต้องการออกมาชี้แจงต่อสังคม เพราะข่าวที่ออกไปทำให้บริษัทฯ ได้รับความเสียหายอย่างหนัก จึงอยากใช้โอกาสนี้แถลงยืนยันว่าไม่มีเจตนาฉ้อโกง สินค้าที่สั่งซื้อมาทั้งหมดยังอยู่ครบ และขอรอคำสั่งศาลอุธรณ์ นอกจากนี้ ในช่วงที่ยังอยู่ระหว่างรอการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ บริษัทฯ ของตนก็ได้รับความเสียหาย เพราะสินค้าที่อยู่ในคลังเริ่มทยอยหมดอายุ ทั้งที่ยังไม่ได้จำหน่ายออกไป อีกทั้งการโฆษณาสินค้าดังกล่าวในสื่อต่างๆ ที่ลงทุนไปก่อนหน้านี้ ก็ได้ดำเนินการไปล่วงหน้าแล้ว บริษัทจึงเสียหายจากการที่ไม่สามารถจำหน่ายสินค้าดังกล่าวได้
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าคดียังไม่สิ้นสุด แต่ที่ทางคู่กรณีออกมาเปิดเผยเรื่องดังกล่าวต่อสื่อมวลชน จะดำเนินการฟ้องร้องในฐานหมิ่นประมาทหรือไม่ นายธนาตรัยฉัตร ระบุว่า ตอนนี้ตนไม่มีสมองไปคิดเรื่องนั้นเลย ทุกวันนี้วิ่งเคลียร์ปัญหาภายในบริษัทมากกว่า เพื่อให้ผ่านวิกฤตินี้ไปได้ ซึ่งต้องขอบคุณคู่ค้าและกลุ่มลูกค้าที่ยังเชื่อมั่นในตัวเองและบริษัทอยู่ จึงอยากใช้โอกาสนี้ร้องขอความเป็นธรรมจากสังคมให้มั่นใจว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องระหว่างบริษัทกับบริษัท ไม่ใช่เรื่องของบริษัทกับสังคม ที่สำคัญตนไม่ได้ฉ้อโกงใคร
ส่วนที่คู่กรณีไปยื่นฟ้องในคดีอาญานั้น นายธนาตรัยฉัตร ระบุว่า ครั้งแรกตนทราบมาว่าคู่กรณีไปแจ้งความกับตำรวจกองบังคับการปราบปราม ซึ่งตำรวจกองปราบปราม มีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง เพราะเห็นว่าคดีดังกล่าวเป็นคดีแพ่ง ต่อมาอัยการกลับสั่งฟ้อง ซึ่งตนไม่ทราบเหตุผลในเรื่องดังกล่าว แต่ได้เดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหามาแล้วในวันที่ 18 พ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งตนก็มีหน้าที่จะต้องดำเนินการต่อสู้คดีต่อไป ทั้งนี้ ในระหว่างการสอบสวนคดีอาญาดังกล่าว เจ้าหน้าที่ได้ออกหมายเรียกพยานไปยังคู่ค้ารายอื่นเพื่อสอบปากคำว่าตนมีพฤติการณ์ฉ้อโกงหรือไม่ ซึ่งคู่ค้ารายอื่นก็ยังยืนยันว่าไม่พบพฤติการณ์ดังกล่าว
นายธนาตรัยฉัตร ย้ำว่า ตนถูกกล่าวหาว่าได้กระทำผิดฐานฉ้อโกงนั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด จึงขออนุญาตชี้แจงข้อเท็จจริงต่อสื่อมวลชนทุกท่าน เพื่อให้เกิดความเข้าใจข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ตลอดเวลากว่าสิบปีที่ผ่านมา ตนได้ดำเนินธุรกิจขายสินค้าด้วยความชื่อสัตย์สุจริต และไม่เคยทำให้ประชาชนได้รับความเสียหายแต่อย่างใด ซึ่งทุกคนได้รับสินค้าที่มีคุณภาพที่ดี และเชื่อมั่นว่าผู้บริโภคมีความไว้วางใจในสินค้าของตน ส่วนปัญหาข้อพิพาทที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเรื่องระหว่างตนกับคู่กรณี ซึ่งสื่อมวลชนทุกท่านคงเข้าใจว่า หากสินค้ามีคุณภาพและเป็นไปตามที่ตกลงกัน ก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่ตนจะไม่ชำระราคาค่าสินค้ากับคู่กรณี หรือไม่นำสินค้าไปจำหน่ายให้แก่ผู้บริโภค หากตนมีเจตนาฉ้อโกงโดยการหลอกให้คู่กรณีส่งมอบสินค้า และนำไปขายแล้ว ก็คงไม่ปรากฏสินค้าดังกล่าวแต่ประการใด.