เมื่อวันที่ 21 พ.ย. 67 ศาลแพ่งนัดฟังคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่พ 3370/2566 ระหว่างนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน เป็นโจทก์ และบริษัท เอ็นเอสโอ กรุ๊ป เทคโนโลยี จำกัด (N.S.O.GROUP TECHINOLOGIES LTD.) เป็นจำเลย

โดยโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยระงับการใช้เพกาซัสสปายแวร์เพื่อสอดแนม เจาะระบบ และเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคลของโจทก์ รวมถึงต้องส่งมอบข้อมูลที่ได้จาการควบคุมหรือใช้เพกาซัสสปายแวร์คืนแก่โจทก์ โดยจะต้องลบข้อมูลดังกล่าวออกจากฐานข้อมูลของจำเลยด้วย ให้จำเลยส่งมอบข้อมูลที่ได้จากการควบคุมหรือใช้เพกาซัสสปายแวร์คืนแก่โจทก์ที่ได้ส่งมอบให้กับหน่วยงานรัฐของไทยคืนแก่โจทก์ทั้งหมดให้จำเลยเยียวยาชดใช้ความเสียหายอันเกิดจาการกระทำละเมิด อันเป็นการละเมิดสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัวและสิทธิเสรีภาพอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น เสรีภาพในการแสดงออก เสร็ภาพในการเดินทางและเสรีภาพในการติดต่อสื่อสาร อันล้วนแล้วแต่เป็นสิทธิเสรีภาพอันได้รับความคุ้มครองภายใต้รัฐรัฐธรรมนูญแห่งราชอาญาจักรไทย พ.ศ.2560 และความเสียหายจากการที่ระบปฏิบัติการและการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของโจทกได้รับความเสียหาย ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของโจทก์

ในส่วนนี้ โจทก์ขอเรียกค่าเสียหาย 2,000000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่จิตใจของโจทก์ เนื่องจากการกระทำละเมิดของจำเลยที่ให้โจทก์ต้องระแวงวิตกกังวลจะถูกเพกาซัสสปายแวร์จาะเข้าระบบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลเป็นเงิน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป

จำเลยให้การว่า เป็นเพียงบริษัทผู้ผลิตซอฟต์แวร์ แต่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำละเมิดต่อโจทก์ตามฟ้องและฟ้องโจทก์ขาดอายุความ

ศาลกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ จำเลยต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ เพียงใดและฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยแล้ว วินิจฉัยโดยสรุปได้ว่า โจทก์ไม่สามารถแสดงพยานหลักฐานที่เพียงพอและน่าเชื่อถือในการพิสูจน์ว่าโทรศัพท์ของตนถูกโจมตีด้วยสปายแวร์ Pegasus ของจำเลย และหลักฐานที่นำมาสืบมีความคลาดเคลื่อนในข้อมูล รวมถึงขาดการสนับสนุนทางเทคนิคจากผู้เชี่ยวชาญโดยตรง โดยทางนำสืบของโจทก์ยังมีข้อขัดแย้งและความไม่สมบูรณ์ของพยานหลักฐานหลายประการ ดังนี้ เอกสารที่โจทก์อ้างว่าเป็นการเตือนภัยการถูกเจาะข้อมูลที่เจ้าของบริษัทผู้ผลิตโทรศัพท์เคลื่อนที่ส่งมายังโจทก์มีการระบุวันที่แจ้งเตือนภัยคุกคามเมื่อวันที่ 22 เม.ย. 2565 ซึ่งเป็นเวลาหลังจากเหตุการณ์โจมตีที่โจทก์อ้างในเดือน มิ.ย.และ ก.ค. 2564 เกือบ 1 ปี ข้อมูลอีเมลในเอกสารภาษาอังกฤษระบุอีเมลของบุคคลอื่น เช่น นายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ([email protected]) แต่ในคำแปลเอกสารกลับแปลเป็นอีเมลของโจทก์ ([email protected]) ซึ่งเป็นความคลาดเคลื่อนที่ไม่สมเหตุสมผล อีกทั้งเอกสารอาจแสดงถึงการแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนข้อมูล

นอกจากนี้ยังมีความไม่สมบูรณ์ของพยานหลักฐานอื่นๆ เช่น รายงานจากหน่วยงานซิติเซ็นแล็บ (Citizen Lab) และพยานผู้เชี่ยวชาญโดยโจทก์มีรายงานจากซิติเซ็นแล็บระบุเพียงว่าโทรศัพท์ของโจทก์ติดสปายแวร์ Pegasus แต่ไม่มีการระบุลักษณะของข้อมูลที่ถูกดึงออกไป หรือกระบวนการตรวจสอบเชิงเทคนิคที่ชัดเจน พยานผู้เชี่ยวชาญของโจทก์ไม่ได้แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับ “ล็อคไฟล์” (Log File) หรือข้อมูลอื่นที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า Pegasus เจาะระบบปฏิบัติการของโทรศัพท์โจทก์ และไม่มีข้อมูลที่ยืนยันว่ามีไบนารีของสปายแวร์ Pegasus ในอุปกรณ์ของโจทก์ หรือข้อมูลที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงในอุปกรณ์ที่เกิดจากสปายแวร์ อีกทั้งโจทก์มีการอ้างอิงรายงานและกรณีศึกษาที่ไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำของจำเลยที่โจทก์บรรยายฟ้องโดยตรง เช่น รายงาน “FORCEDENTRY” และ “HIDE AND SEEK”เป็นกรณีศึกษาที่เกี่ยวข้องกับบุคคลอื่น เช่น นักเคลื่อนไหวในซาอุดิอาระเบีย และไม่สามารถเชื่อมโยงกับกรณีของโจทก์ได้โดยตรง รายงาน “GeckoSpy” แม้จะกล่าวถึงการใช้ Pegasus ในประเทศไทย แต่เป็นเพียงการวิเคราะห์ทางนิติวิทยาศาสตร์ในเชิงทั่วไป ไม่มีข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงถึงโจทก์ ประกอบกับโจทก์ไม่ได้เรียกประจักษ์พยานที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง เช่น ผู้วิเคราะห์ข้อมูลของซิติเซ็นแล็บหรือบุคคลที่ทำการดึงข้อมูลจากโทรศัพท์มาเบิกความในชั้นศาล พยานบุคคลที่โจทก์นำมาเบิกความเป็นเพียงผู้ดึงข้อมูลจากโทรศัพท์ของโจทก์ไปยังซิติเซ็นแล็บ ไม่ใช่ผู้วิเคราะห์ข้อมูลโดยตรง พยานหลักฐานของโจทก์เป็นเพียงพยานบอกเล่า ซึ่งไม่ได้รับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 95/1 เนื่องจากไม่มีการนำพยานบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงมาเบิกความ ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมานั้น จึงยังไม่อาจฟังได้ว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่ของโจทก์ถูกโจมตีโดยสปายแวร์เพกาซัสของจำเลย ดังนี้จำเลยไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ กรณีไม่จำต้องพิจารณาพยานหลักฐานของจำเลยและไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นอื่นอีก เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป

พิพากษายกฟ้อง