เมื่อวันที่ 21 พ.ย. ที่บริเวณหน้าศาลรัฐธรรมนูญ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ประธานกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชนและการมีส่วนร่วมของประชาชน ให้สัมภาษณ์หลังเข้าร่วมหารือกับประธานศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมแบบไม่เป็นทางการ โดยพบกับประธานศาลรัฐธรรมนูญ และผู้เข้าร่วมประชุม ไม่ได้พบตุลาการทั้งคณะ ดังนั้น สิ่งที่พูดคุยกัน จึงเป็นความเห็นของผู้เข้าร่วมประชุม ไม่ใช่ความเห็นของทั้งองค์คณะ ทั้งนี้ ในการหารือเราได้มีการทบทวนคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 ซึ่งระบุไว้ชัดไว้ในย่อหน้าสุดท้ายว่ามีการพูดถึงประชามติ 2 ครั้ง คือก่อนและหลัง ทั้งนี้ไม่ได้มีการแสดงความเห็นว่าต้องทำ 3 ครั้ง
นายพริษฐ์ กล่าวว่า สำหรับการทำมติ 2 ครั้ง คือก่อนและหลัง ขั้นตอนจะเป็นอย่างไร ก็อยู่ที่สภาจะตัดสินใจ แต่ข้อเสนอที่พรรคประชาชน และพรรคเพื่อไทย เคยพูดมาก่อนหน้านี้ คือให้ทำประชามติ 2 ครั้ง โดยใช้วิธีการยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพิ่มหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เข้าไป หากผ่าน 3 วาระ ของรัฐสภาแล้ว ก็จะต้องมีการทำประชามติครั้งแรก เพื่อถามว่าประชาชนเห็นชอบกับแนวทางดังกล่าวหรือไม่ ก่อนจะมีการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แล้วจึงทำประชามติครั้งที่ 2 เพื่อถามว่าประชาชนจะเห็นชอบกับเนื้อหาที่ถูกจัดทำมาในฉบับใหม่หรือไม่ ซึ่งจากการหารือก็ดูแล้วเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 ดังนั้นก็จะนำแนวทางนี้ไปหารือกันประธานรัฐสภาในวันที่ 27 พ.ย. เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยหวังว่าประธานรัฐสภาจะได้มีการทบทวนและบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการเพิ่มหมวด 15/1 เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาก็จะเป็นโอกาสที่ดีที่ทำให้มีการพิจารณามุมมองต่อการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และถ้าหากร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านความเห็นชอบจากทางรัฐสภามาได้ ก็จะมีการจัดทำประชามติหลังจากที่ผ่านวาระที่ 3
เมื่อถามว่าผลการหารือในครั้งนี้ ทำให้มั่นใจมากขึ้นหรือไม่ว่า หากมีผู้นำเรื่องกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญมายื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย การวินิจฉัยก็จะเป็นคุณมากกว่าโทษ นายพริษฐ์ กล่าวว่า อย่างที่บอกว่าการหารือไม่มีใครแสดงความคิดเห็น ว่าจำเป็นต้องทำประชามติ 3 ครั้ง คำวินิจฉัยที่ 4/2564 ก็พูดถึงการทำประชามติแค่ 2 ครั้ง แต่ 2 ครั้งจะเกิดขึ้นตอนไหน อย่างที่บอกว่าพรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทย เสนอไปก็สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จึงคิดว่าผลของการหารือดังกล่าวจะนำไปสู่การพูดคุยกับทางสภาให้ทบทวนและบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็คิดว่าทางรัฐสภาก็จะเดินหน้าพิจารณาได้ แต่แน่นอนว่าเป็นสิทธิบางกลุ่ม อาจจะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นเราจะไปคาดการณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ คำวินิจฉัยที่จะออกมาคงไม่ได้ แต่ก็เชื่อว่าผลที่ออกมาจะยืนยันว่าสิ่งที่เราเสนอนั้น ไม่ได้ขัดต่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564
เมื่อถามว่า นอกจากเรื่องดังกล่าวได้มีการหาถึงเรื่องอื่นๆ ที่ยังติดใจอยู่หรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า สิ่งที่หารือเป็นหลักคือคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 และคิดว่าการที่ได้รับความชัดเจนในเรื่องนี้เป็นปัจจัยที่สำคัญ ในการที่จะทำให้เราสามารถจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ทำต่อการเลือกตั้งครั้งถัดไป
เมื่อถามว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่สภาจะเสนอให้มีการตีความว่ากฎหมายประชามติเข้าข่ายเป็นกฎหมายการเงิน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องรอ 180 วัน ตามที่นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เสนอ นายพริษฐ์ กล่าวว่า คงต้องไปดูในรายละเอียด ตนยังไม่ทราบรายละเอียดที่นายชูศักดิ์ เสนอ จึงขอไม่ให้ความเห็น แต่ถ้ามีการเสนอพรรคประชาชน ในฐานะพรรคการเมืองในสภาก็ต้องมีความเห็นในเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ในภาพรวมขณะนี้หลายคนก็กังวลใจว่า เมื่อข้อสรุปของกรรมาธิการร่วมเห็นชอบร่างของ สว. เมื่อส่งกลับมาที่ สส. สภาผู้แทนฯ อาจยืนยันในหลักการเดิม คือใช้เสียงข้างมากหนึ่งชั้น ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ร่าง พ.ร.บ.ประชามติจะต้องถูกชะลอไป 180 วัน ซึ่งถ้าจะยึดตามแผนเดิมให้มีประชามติ 3 ครั้ง และจะไม่จัดครั้งแรก จนกว่า พ.ร.บ.ประชามติจะแก้ไขเสร็จสิ้น แน่นอนว่าก็จะกระทบต่อกรอบเวลา แต่ถ้าผลสรุปที่ได้จากวันนี้ สามารถทำให้เราโน้มน้าวทุกฝ่าย หันมาใช้โรดแม็พในการทำประชามติ 2 ครั้ง ก็คิดว่า พ.ร.บ.ประชามติจะล่าช้า จะไม่กระทบต่อไทม์ไลน์ดังกล่าว เพราะถ้าเราทำประชามติ 2 ครั้ง ขั้นตอนแรกไม่ใช่เป็นการจัดทำประชามติเลย แต่เป็นการรัฐสภาพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับ ส.ส.ร. และการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ใน 3 วาระของรัฐสภา ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในระดับหนึ่ง แต่หากเราดำเนินการตามขั้นตอนแบบนี้ 6 เดือนที่ชะลอไป ก็คงจะไม่กระทบไทม์ไลน์ตรงนี้ พูดง่ายๆ คือถ้าเราไม่อยากให้ความล่าช้าของ พ.ร.บ.ประชามติเป็นปัญหา ก็หันมาใช้กลไกประชามติ 2 ครั้ง ก็น่าจะเป็นทางออกที่ดี.