ยังคงเป็นประเด็นที่หลายคนให้ความสนใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว สำหรับกรณีคลิปเสียงของ “ฟิล์ม รัฐภูมิ” และ “กฤษอนงค์” ขณะสนทนาเรียกเงิน “บอสปัน ดิไอคอน” จำนวน 20 ล้าน โดยการอ้างว่าจะพาไปออกรายการโหนกระแส ทำเอา “หนุ่ม กรรชัย” พิธีกรรายการ ถึงกับต้องออกโรงแฉ และเข้าแจ้งความกับ “ฟิล์ม รัฐภูมิ” พร้อมลั่นตัดสัมพันธ์ ตามที่ได้นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

โดยหลังจากเจอเรื่องราวหนักหน่วงมากมาย “หนุ่ม กรรชัย” ในฐานะพิธีกรรายการโหนกระแส และคู่กรณีของ “ฟิล์ม รัฐภูมิ” ถึงกับต้องขอลาพักงานไปพักผ่อนฮีลใจสักพักก่อนกลับมาลุยงานอีกครั้ง


ล่าสุด หนุ่ม กรรชัย ได้มาร่วมงานอีเวนต์หอแว่น “The New Vision By Better Vision” ที่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว ได้เผยสาเหตุที่ขอพักงานสักระยะหนึ่ง และได้อัปเดตความคืบหน้าในส่วนของคดีความที่แจ้งดำเนินกับทาง ฟิล์ม รัฐภูมิ โดย หนุ่ม กรรชัย เผยว่า

“คนใกล้ตัวคือใคร (ฟิล์ม รัฐภูมิ?) ใกล้ตัวผมตรงไหน คือจริงๆ ถามว่าเป็นคนใกล้ตัวไหม สำหรับเราเคยพูดไปแล้วว่ากับคุณฟิล์มเองเรารู้จักกันมานาน แต่ คนรู้จักกันมานานไม่ได้หมายความว่าต้องสนิทกันนะ มันก็มีระยะของมันอยู่ในการรู้จักกัน แต่ว่าวันนี้มันก็เป็นไปตามระบบที่มันเกิดขึ้น คือในส่วนตัวของเราเอง เรารู้สึกว่า ครั้งนี้มันหนักเกินไปคือมันล้ำเส้นเกินไป คือที่ผ่านมาเคยเจอนะครับกรณีที่เอาชื่อไปแอบอ้างเอารายการไปแอบอ้าง แต่พอเป็นคนที่เรารู้จักเขาอยู่แล้ว แล้วกลับเอาไปทำแบบนี้ มันก็ยิ่งรู้สึกไม่ดีมากกว่าทุกคน เพราะอย่างคนอื่นเขาอาจจะมีปัจจัยของเขาอาจจะอะไรก็แล้วแต่ แต่เราไม่รู้จักเขาไง อันนี้มันคือคนที่เรารู้จักแต่กลับไปทำแบบนี้สำหรับตัวเราเองไม่โอเค ส่วนเรื่องที่เหมือนให้โอกาสเขาพูดความจริง แต่เขาไม่พูด คือเราก็ไม่ได้บอกเขานะว่าเราให้โอกาส เพียงแต่ว่าเราพูดกับตัวเอง เราแค่คิดในใจของเราเองว่า ครั้งแรกที่โทรฯ ไป จำได้เลยวันนั้นถ่ายสามแซ่บเสร็จ พอรู้เรื่องก็โทรฯ ไปครั้งแรกอยู่บนรถ ก็ถามว่า มันมีแบบนี้ๆ นะจริงหรือเปล่า เขาบอกว่าไม่จริง ครั้งที่ 2 โทรฯ ไปอีกเราบอก อันนี้มีคนมาบอกใช้คำว่า มีคนมาบอกว่าไปพูดแบบนี้นะ คุณไปพูดแบบนี้ใช่ไหมมันไม่โอเคนะ เขาก็ยังเหมือนเดิม คือตอบว่าไม่เคยพูด จนสุดท้ายไหนๆ ก็พูดเลยแล้วกัน เดี๋ยวเผื่อเขาจะได้ยอมรับกับเรา เราก็โทรฯ ไป ครั้งที่ 3 ตอน 5 ทุ่มกว่า ก็บอกเลยว่าเราได้ยินเสียงแล้วนะ เพราะมีคนเปิดให้เราฟัง แต่เราไม่ได้บอกว่าเรามีอยู่ในมือ แล้วมันเป็นแบบนี้คุณพูดแบบนี้คุณเรียกอย่างนี้ คุณเอาชื่อผมไปไปบอกแบบนี้ เขาก็บอกว่ามันน่าจะเป็นการตัดต่อ เราก็โอเคพอจบจำได้เลย พอวางสายเสร็จผมก็โทรฯ หาบิ๊กเต่า บอกพี่เต่ามันมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ผมไม่โอเค ผมจะแจ้งความดีไหม พี่เต่าก็บอกว่าถ้าเกิดคิดว่ามันปกป้องสิทธิของเราก็สมควร ผมก็เลยโทรฯ หาทนาย ให้ทนายจัดการเลย บอกว่าเดี๋ยวผมส่งคลิปไปให้นะ ฟังทั้งหมดและแกะเลย แล้วพรุ่งนี้ส่งใบแต่งตั้งทนายมา ผมก็เซ็นทุกอย่างแล้วก็ให้ทนายไปมอบที่กรมสอบสวนกลาง

“พอวันนั้นเปิดคลิปไปเป็นวันอังคาร พอเย็นวันนั้นเขาก็ไปออกรายการของ อ.ยิ่งศักดิ์ (ยิ่งศักดิ์ จงเลิศเจษฎาวงศ์) หลังจากนั้นเขาก็โทรฯ กลับมาหาผม แต่ผมไม่ได้รับ เพราะผมไม่รู้จะต้องคุยอะไร เอาตรงๆ ที่ไม่รับก็ไม่ได้โกรธ ไม่ได้รู้สึกว่าไม่อยากคุย แต่คือเขินแทน อย่าใช้คำว่าอายเลย ใช้คำว่าเราเขินแทน เพราะรู้สึกว่าพอแบบนี้แล้วเขาจะพูดกับเรายังไง คือไม่ได้เสียความรู้สึก แต่ผิดหวัง ว่าคนที่เราคุยด้วย เจอกัน มาหาเรา แต่กลับเอาชื่อเราไปทำแบบนี้ ซึ่งมันไม่ดีเลย และลองคิดดูถ้าวันนั้นผมไม่ได้มีคลิปนี้มาอยู่ในมือก่อน แต่คลิปนี้ไปอยู่ในมือของคนที่ไม่ชอบผม หรือไปอยู่ในมือของคนที่เป็นคู่กรณีของผม และเขาตัดแค่สั้นๆ ออกมาปั่น คนที่ซวยคือผมเลยนะ กลายเป็นว่าไอ้หนุ่มไปเรียกเงินเขา 20 ล้าน คุณทำแบบนี้ได้ยังไง มันล้ำเส้นเกินไป ไม่ต้องมาพูดถึงเรื่องขอโทษดีกว่า ไม่อยากฟังด้วย ไม่ใช่ไม่รับนะ แต่ไม่อยากฟัง (หัวเราะ) ไม่ต้องมาพูดเรื่องนี้ เพราะทุกอย่างให้เป็นไปตามกระบวนการ สิ่งที่คุณทำมันเป็นความเสื่อมทรามในสังคม ไม่ควรจะมีใครโดนแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้เสียหาย หรือเป็นผู้ต้องการ ก็ไม่มีใครควรจะโดนแบบนี้กับการที่ไปเรียกเงินเขาแบบนั้น วันนี้ที่มีการฟ้องไป ก็จะเป็นเรื่องของหมิ่นประมาทก่อน อันนี้ไปแจ้งความ แต่ในมุมของกฎหมายก็ปรึกษากันอยู่ว่าถ้ามุมไหนที่ไปถึงได้ก็เอาหมด”

“รายการไม่เสียหายหรอกครับ ผมเชื่อว่าคนดูเขารู้ว่ารายการผมไม่ทำแบบนั้นหรอก เพราะเราก็เจอบ่อย เราเคยเอาคนไปจับคนที่ทำแบบนี้ด้วยซ้ำ แต่ที่เราต้องทำแบบนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับรายการเลยนะ แต่ที่ทำเพราะอยากให้มันมีมาตรฐานของสังคมว่ามันไม่ควรมีใครไปทำแบบนี้ และอย่างที่ผมเคยพูดไปแล้วว่าคุณเองก็ไม่ได้ลำบากยากแค้นถึงขนาดต้องทำแบบนี้ แล้ว คุณไปทำแบบนี้เพื่ออะไร คุณเอาเปรียบคน คุณเป็นคนมีชื่อเสียง คุณจะมาบอกว่าเป็นงานพีอาร์ ที่ยืนอยู่ตรงนี้ทุกๆ คนฟังแล้วรู้สึกยังไง รู้สึกว่ามันเป็นงานพีอาร์ไหมล่ะ ถูกไหม เราไม่ได้กินหญ้า เราไม่ใช่วัว ไม่ใช่ควาย ฟังดูก็รู้ว่ามันคืออะไร จะแถทำไม จริงๆ แล้ววันนั้นที่โทรฯ ไปครั้งแรก ฝากบอกไปเลย จริงๆ ก็ เคยพูดไปแล้วก็ฝากบอกอีกครั้งว่าวันนั้นถ้าคุณพูดกับผมว่า พี่ครับผมยอมรับ ผมทำจริง ผมอาจจะถูกชักจูงไปแบบนี้ ผมจะทำยังไงดี มีทางออกยังไง วันรุ่งขึ้นคือวันอังคารผมจะไม่เปิดคลิปนี้เลยนะ แต่ผมจะให้ทนายไปแจ้งความไว้เฉยๆ แล้วผมจะบอกน้องเขาว่าคุณต้องออกมาพูดนะ อย่างน้อยคุณต้องแฟร์กับสังคมด้วย คุณต้องแฟร์กับตัวคุณเอง คุณต้องแฟร์กับครอบครัวคุณด้วย ควรจะมีความซื่อสัตย์กับตัวเอง คนเรามันพลาดได้ แต่ถ้าพลาดแล้วไม่ยอมรับนี่มันอีกเรื่องหนึ่งนะ มาตรการมันยากมากครับ มันไม่มีมาตรการ ก็แค่ฝากพี่ๆ น้องๆ สื่อนี่แหละครับว่า รายการโหนกระแสไม่มีการเรียกเก็บเงินแม้แต่สลึงเดียวนะครับ ยกเว้นคนที่มาเป็นสปอนเซอร์ เดี๋ยวสปอนเซอร์มาเห็นบอกไม่เก็บเงิน ไม่ใช่นะครับ สปอนเซอร์เก็บนะครับ (หัวเราะ) แต่ว่าคนที่มีเรื่องเดือดร้อนหรืออยากให้เราเป็นกระบอกเสียงให้ และเราเชิญมา ไม่มีการเก็บเงินแม้แต่สลึงเดียวแน่นอนก็ฝากกระจายข่าวนี้ด้วย เพราะมันไม่ได้มีแค่คนกลุ่มนี้กลุ่มเดียว ก็จะมีคนนั้นคนนี้มากมาย หรือแม้แต่ทนายบางท่านก็มีที่ไปพูดว่าเป็นทนายของรายการโหนกระแสนะ เรียกเงินเท่านั้นเท่านี้ ต้องบอกว่าไม่เกี่ยวกับโหนกระแสนะครับ แต่มันอาจจะเป็นสไตล์ของเขาที่เขาอาจจะพูดอะไรก็ได้ ก็เป็นเรื่องของเขาไป”

หนุ่ม กรรชัย เผยต่อว่า “คนตามหาพี่หน่วง (หัวเราะ) ไม่ต้องตามหา ขอไปพักสักแป๊บหนึ่ง ก็แฮปปี้ดีครับ เหมือนเราไม่ได้พักนานมากก็ไปล้างท่อสักที คืออย่างนี้จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้พี่รู้จักกับคนที่เขาจับงูเก่งๆ อยู่คนหนึ่ง แล้วเขาพูดคำนี้ว่าพวกเขาจับงูจนชินแล้วเขารู้สึกว่ามันง่าย แล้วพอง่ายเสร็จความประมาทมันจะเกิด พอความประมาทเกิดเขาก็จะไม่ระวังงูก็จะฉกเขา ซึ่งมีน้องคนหนึ่งก็โดนไปเหมือนกัน เพราะด้วยความเคยชินนี่แหละ เขาเลยบอกว่าจริงๆ คนเราทำอะไรก็ตามแต่ พอเรารู้สึกว่าเริ่มชินแล้ว ง่ายแล้ว มันควรจะต้องล้างท่อสักที เอาใหม่ เริ่มต้นใหม่ พักสักแป๊บหนึ่งแล้วค่อยกลับมาแล้วค่อยทำ ส่วนที่แฟนๆ ถามหา เอาตรงๆ นะ แทบไม่ได้ดูเลยว่ามีคนเขียนถึง แค่เราลงรูปไป จริงๆ เราก็ลงเล่นๆ ของเราอยู่แล้ว พอกลับมามีคนบอกก็เลยได้รู้ ก็ขอบคุณทุกคนมากๆ (ยกมือไหว้) ช่วงที่พักผ่อนไม่ได้ดูโซเชียลเลย มันไม่ได้ฮีลใจ อย่างที่บอกว่าเราไม่ได้พักมานานมากแล้วช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา คือคดีมันเยอะแล้วมันก็เครียดตั้งแต่แม่ตั๊ก (กรกนก สุวรรณบุตร) มาเรื่อยๆ ก็ปวดหัวก็เลยรู้สึกว่าน่าจะไปพักบ้าง อย่างที่บอกว่าเราก็อยากไปล้างท่อให้กลับมาแล้วมันสดชื่นหน่อย หายไปมา 3 วัน ส่วนพรุ่งนี้จะทำงานเลยไหม มีคนมาบอกว่าพรุ่งนี้จะกลับมาทำงานไหม เอาตรงๆ นะกำลังคิดอยู่ (หัวเราะ) ก็อยากจะพักแต่ว่าก็เดี๋ยวขอตัดสินใจสักนิดหนึ่งก่อน คือแทบไม่ได้ตามดูในโซเชียลแม้กระทั่งรายการตัวเองก็ไม่ได้ดู ไม่ได้ดูเลย เคยพักไปต่างประเทศก็จะมีการดูแล้วโทรน บอกต้องอย่างนี้ต้องทำแบบนี้ แต่อันนี้คือเป็นครั้งแรกที่จะไม่บอก ไม่พูดอะไรเลย ก็ทำกันไปเลย ก็รู้สึกว่าพอเราไปพูดปุ๊บจะไปกดดันทาง ปุ้ย รสริน เขาด้วย ก็ปล่อยให้เขาทำเต็มที่ของเขาไป ถามว่าจุดไหนที่เรารู้สึกว่าอันนี้มันต้องพักแล้ว จริงๆ อยากพักมาตั้งนานแล้ว คือเชื่ออย่างหนึ่งว่าถ้าวันนี้ไปถามคนที่ดูรายการโหนกระแสหรือคนที่ตามข่าว แค่ไม่ใช่คนทำข่าวก็ยังเครียดเลย มันเครียดไปหมด แล้วคนทำล่ะ คนหาข้อมูล คนรับข้อมูลคือเรา มันก็หนัก เพราะฉะนั้นก็รู้สึกว่าขอไปทำอะไรให้ตนเองบ้างดีกว่า อยากไปเที่ยวกับเพื่อนกับน้อง”

ขอบคุณภาพประกอบจาก : kanchai, filmrattapoom