ทีมนักวิทยาศาสตร์ที่ติดตามขั้วเหนือของสนามแม่เหล็กมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ ให้ข้อมูลแก่สำนักข่าวเดอะ ไทม์ส ว่า ขั้วเหนือของสนามแม่เหล็กโลกได้เคลื่อนตัวเข้าใกล้ชายฝั่งทางตอนเหนือของแคนาดามาตลอด แต่ในช่วงทศวรรษ 1990 ขั้วเหนือนี้ได้เคลื่อนตัวเข้าผ่านมหาสมุทรแอตแลนติกอย่างรวดเร็ว โดยมุ่งหน้าไปยังเขตไซบีเรียในรัสเซีย

เข็มทิศทั่วไปมักชี้บอกทิศเหนือหรือขั้วเหนือของสนามแม่เหล็กโลกในพื้นที่ซีกโลกเหนือ แม้ว่าตำแหน่งที่แน่นอนของขั้วเหนือจะเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา เนื่องจากเส้นชั้นบอกความสูงต่ำของสนามแม่เหล็กของโลกก็เปลี่ยนแปลงเช่นกัน บางครั้งคนจะสับสนระหว่างขั้วเหนือของสนามแม่เหล็กโลกกับขั้วโลกเหนือในเชิงภูมิศาสตร์ ซึ่งอย่างหลังนี้จะอยู่ในตำแหน่งเดิมเสมอ

ในช่วง 300 ปีระหว่างปี ค.ศ. 1600 ถึงค.ศ. 1900 นักวิทยาศาสตร์ประมาณการว่า ขั้วเหนือของสนามแม่เหล็กโลกเคลื่อนตัวประมาณ 6 ไมล์ (ราว 9.6 กม.) ต่อปี แต่เมื่อมาถึงช่วงต้นศตวรรษนี้ การเคลื่อนที่ของขั้วเหนือเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 34 ไมล์ (ราว 54.7 กม.) ต่อปี ก่อนที่จะลดลงเหลือประมาณ 22 ไมล์ (ราว 35.4 กม.) ต่อปีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

การเคลื่อนที่ของขั้วเหนือของสนามแม่เหล็กมีความสำคัญ เพราะเป็นข้อมูลสำคัญที่ใช้ระบบนำทางและเข็มทิศที่อยู่ในสมาร์ตโฟนและอุปกรณ์นำทางอื่น ๆ รวมทั้งเป็นข้อมูลที่ระบบจีพีเอสใช้เพื่อสร้างแบบจำลองสนามแม่เหล็กโลก

ทีมนักวิทยาศาสตร์จาก British Geological Survey (BGS) ระบุว่า หากการเคลื่อนที่ยังคงดำเนินไปในอัตราที่รวดเร็วเช่นนี้ ขั้วเหนือของสนามแม่เหล็กโลกจะเคลื่อนที่ไปเป็นระยะทาง 660 กิโลเมตรภายในทศวรรษหน้า ซึ่งจะทำให้เข็มทิศทั้งหมด “น่าจะชี้ไปทางทิศตะวันออกของทิศเหนือที่แท้จริง” ภายในปี 2040 

ส่วนขั้วใต้ของสนามแม่เหล็กโลกก็กำลังเคลื่อนที่เช่นกัน โดยเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันออกเหนือทวีปแอนตาร์กติกา

นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นทุก ๆ 300,000 ปี แต่การสลับขั้วครั้งสุดท้ายของโลกเกิดขึ้นเมื่อ 780,000 ปีที่แล้ว ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญจึงมีความเห็นว่าการสลับขั้วเกิดขึ้นล่าช้าไปกว่าเดิมมาก 

การเคลื่อนที่ของขั้วเหนือใต้ของสนามแม่เหล็กโลกนั้น เนื่องมาจากแกนโลกชั้นนอกซึ่งเป็นเหล็กหลอมเหลวและไหลไปมาในลักษณะที่คาดเดาไม่ได้ เมื่อขั้วเหนือใต้ของสนามแม่เหล็กโลกเคลื่อนที่จนถึงจุดที่สลับขั้วกัน จะทำให้เกราะป้องกันของสนามแม่เหล็กโลกหดตัวลงจนเหลือศูนย์ ก่อนจะเริ่มแผ่ขยายได้อีกครั้งจากขั้วที่ตรงข้ามกันของสนามแม่เหล็กโลก

สนามแม่เหล็กของโลกมีบทบาทสำคัญในการปกป้องหล่อเลี้ยงชีวิตบนพื้นโลกและปกป้องระบบเทคโนโลยี  โล่ป้องกันที่มองไม่เห็นนี้แผ่ขยายจากภายในของโลกออกไปสู่อวกาศ ก่อตัวคล้ายฟองอากาศป้องกันและปกป้องโลกจากพายุสุริยะจากดวงอาทิตย์ 

ถ้าหากสนามแม่เหล็กที่สำคัญนี้หายไปจากโลก ผลที่ตามมาจะร้ายแรงมากโดยจะมีผลกระทบต่อทุกสิ่งตั้งแต่สิ่งแวดล้อมไปจนถึงสุขภาพของมนุษย์และเทคโนโลยีต่าง ๆ รังสีที่เป็นอันตรายจะทะลุชั้นบรรยากาศมาถึงพื้นโลก ส่งผลให้เซลล์ของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์มากขึ้น และนำไปสู่การเป็นโรคมะเร็งในสัตว์ต่าง ๆ

ที่มา : ndtv.com

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES