เมื่อวันที่ 20 พ.ย. ที่บริเวณด้านหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ถนนงามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ทนายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของ นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือบอสพอล ให้สัมภาษณ์กรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เข้าสอบปากคำเพิ่มเติมกับผู้ต้องหาชาย 11 ราย ในคดีบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ในความผิดตาม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 (แชร์ลูกโซ่) และความผิดตาม พ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2547 ว่า การเตรียมให้การในวันนี้ ต้องดูว่าผู้เสียหายมีพฤติการณ์อย่างไรที่กล่าวหา โดยจะมีการเปิดชื่อให้ดูแต่ละคน เปิดระบบให้ดูว่าผู้เสียหายมีความเสียหายจริงหรือไม่ เพราะบางคนรับสินค้าไปแล้ว และขายไม่ได้เอง อีกจำพวก คือ กลุ่มที่เปิดบิล 2,500 บาท เพื่อซื้อกินซื้อใช้ ดังนั้น จะเข้าข่ายผู้เสียหายได้อย่างไร รวมถึงส่วนกลุ่มที่ 3 คือ ซื้อสินค้าเพราะแม่ทีมชักชวนมา จึงเป็นเรื่องของผู้เสียหาย และแม่ทีมไม่ใช่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้ต้องหาทั้ง 18 คน
ส่วนจะให้การเพิ่มเติมในประเด็นใดบ้างกับดีเอสไอนั้น ทนายวิฑูรย์ ระบุว่า ตนยังไม่ทราบว่าดีเอสไอจะมีการถามในประเด็นใดบ้าง แต่หากตอบได้ก็ตอบ หากตอบไม่ได้ก็ไม่ตอบ แล้วจะส่งเอกสารคำให้การไปในภายหลัง ซึ่งตลอดคำให้การที่ผ่านมา ตนก็ไม่ทราบว่าแต่ละคนมีพฤติการณ์อย่างไร หรือผู้เสียหายแจ้งความอะไรไปบ้าง แต่คาดว่าวันนี้น่าจะครบทุกประเด็น และเชื่อว่ามีหลายประเด็นที่ดีเอสไอจะต้องมาถาม
ส่วนกรณีที่จะส่งคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรของผู้ต้องหาที่ดีเอสไอวางกรอบไว้ 15 วัน ได้มีการจัดเตรียมเอกสารคืบหน้าไปอย่างไรแล้วบ้าง ทนายวิฑูรย์ เผยว่า ทีมทนายความเป็นผู้จัดทำ แต่คงจะต้องมีการขอขยายเวลาไปก่อน เพราะการต่อสู้คดีทางเอกสารมีเป็นลัง ไม่ได้มีเพียง 1-2 แผ่น แต่ยังมีระบบคอมพิวเตอร์ที่จะต้องเปิดอีก ซึ่งคนที่รู้ข้อเท็จจริงมากที่สุด คือผู้ต้องหาทั้ง 18 รายที่อยู่ในเรือนจำ/ทัณฑสถาน ทำให้ทนายต้องเข้า-ออกเรือนจำเพื่อสอบถามข้อเท็จจริง และส่งผลให้การต่อสู้คดีเป็นไปด้วยความยากลำบาก โดยผู้ต้องหาทุกคนได้ขอขยายเวลาออกไป แต่ยังไม่ได้ยื่น เพราะยังไม่ครบตามกำหนดกรอบระยะเวลา โดยสามารถขอขยายได้ครั้งละ 15 วัน แต่ก็คงไม่ได้เกเรขยายไปไกล เพื่อเปิดโอกาสให้เรามีเวลาได้ชี้แจงอะไรให้มากกว่านี้
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หากดีเอสไอจะสอบปากคำเพิ่มเติมในคดีแชร์ลูกโซ่ และ พ.ร.บ.ขายตรงฯ ผู้ต้องหาพร้อมจะชี้แจงหรือไม่ ทนายวิฑูรย์ กล่าวว่า บางคำถามเราสามารถตอบได้ แต่บางคำถามต้องใช้รายละเอียดทางเอกสาร ซึ่งก็ต้องขออนุญาตส่งเอกสารตามไปภายหลัง ส่วนข้อหาฉ้อโกงประชาชน ทีมทนายพยายามส่งรายละเอียดไปค่อนข้างเยอะแล้ว ตั้งแต่คดียังอยู่ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ถ้าหากตอบได้ก็จะให้ความร่วมมือในเรื่องนี้ ส่วนแนวทางการยื่นประกันตัว ยอมรับว่า มีแนวทางในการยื่นขอประกันตัว แต่โอกาสยกคำร้องสูง และผู้เสียหายในคดีก็ได้ยื่นศาลขอคัดค้านการประกันตัว ซึ่งจะต้องมีการหารือกับทีมทนายก่อนว่า จะมีการวางแผนยื่นประกันตัวเมื่อใด
สำหรับกรณีที่ดีเอสไอ จะเข้าไปสอบปากคำบอสพอล ประเด็นคลิปเสียงที่เป็นคู่สายสนทนากับ น.ส.กฤษอนงค์ มีการเตรียมตัวให้การอย่างไรบ้าง ทนายวิฑูรย์ กล่าวว่า หากเป็นเรื่องคลิปเสียงต้องบอกตามตรงว่า บริบทในวันนั้นพูดกันหลายเรื่อง ทั้งในเรื่องของการแอบอ้าง น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และการจ่ายสินบนให้กับดีเอสไอ ซึ่งบอสพอล ยืนยันว่า น.ส.กฤษอนงค์ มีการพูดจริงตามที่ปรากฏในคลิป และยืนยันว่าไม่ใช่คลิปที่มีการตัดต่อ และยอมรับว่าเป็นสิ่งที่เขาพูดขึ้นมาเอง
ส่วนเมื่อวานนี้ (19 พ.ย.) ที่เดินทางไปแจ้งความกรณีคลิปเสียง 20 ล้านบาท ทนายวิฑูรย์ ระบุว่า ตนได้เข้าไปแจ้งความอย่างเดียว ยังไม่ได้ให้ปากคำ เพราะทางกองบังคับการปราบปราม ยังติดคดีที่เป็นคลิปเสียงของ น.ส.จิราพร และเราจะดำเนินการให้ปากคำโดยเร็วที่สุดเพื่อให้ทันระยะกรอบเวลาที่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ที่ได้เปิดเผยกับสื่อไว้ว่า ขอเวลาให้แล้วเสร็จภายใน 10 วัน
ส่วนกรณีกลุ่มที่อ้างตนว่าเป็นผู้เสียหาย 89 ราย ที่มาจากทาง น.ส.กฤษอนงค์นั้น ทนายวิฑูรย์ กล่าวว่า อาจไม่ใช่ผู้เสียหายจริงทั้งหมด ซึ่งหากตรวจสอบได้ก็จะดำเนินคดีแจ้งความเท็จภายในต้นเดือนธันวาคมนี้ ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบ ซึ่งเบื้องต้นมั่นใจว่าทั้ง 89 รายนี้ อาจจะไม่ใช่ผู้เสียหายทุกราย ขณะที่กลุ่มผู้เสียหายที่มากับทีมทนายความอเวนเจอร์ส จะมีการตรวจสอบด้วยหรือไม่ ทนายวิฑูรย์ เผยว่า เรื่องนี้คงจะต้องรอไว้ก่อน เพราะเป็นเนื้อหาคดี หากพูดออกไปอาจเป็นการข่มขู่พยานได้
ทนายวิฑูรย์ ยืนยันอีกว่า สิ่งที่ตนเองแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบอสในการยื่นขอประกันตัว ไม่ได้มีเจตนาในการละเมิดอำนาจศาล แต่ตามรัฐธรรมนูญมีการบัญญัติในเรื่องของการให้ประกันตัว จึงขอฝากให้ศาลยุติธรรมพิจารณาในเรื่องนี้.