เมื่อวันที่ 19 พ.ย. ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน นายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม พร้อมด้วยชาวบ้านเกาะเต่า อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี เข้ายื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินขอให้ตรวจสอบและมีความเห็นเสนอต่อศาลปกครองกลางให้เพิกถอนกฎกระทรวงฉบับที่ 43 (พ.ศ. 2537) ข้อที่ 14 (3) ที่กำหนดว่า “ที่ดินจะออกโฉนดที่ดินต้องเป็นที่ดินที่ผู้มีสิทธิในที่ดินได้ครอบครองและทำประโยชน์แล้วและเป็นที่ดินที่สามารถออกโฉนดที่ดินได้ตามกฎหมาย แต่ห้ามมิให้ออกโฉนดที่ดินสำหรับที่ดิน ดังต่อไปนี้.. (3) ที่เกาะ แต่ไม่รวมถึงที่ดินของผู้ซึ่งมีหลักฐานแจ้งการครอบครองที่ดินมีใบจอง ใบเหยียบย่ำ หนังสือรับรองการทำประโยชน์ โฉนดตราจองตราจองที่ตราว่า “ได้ทำประโยชน์แล้ว” เนื่องจากเห็นว่ากฎกระทรวงข้อดังกล่าวกำจัดสิทธิเสรีภาพของชาวเกาะ ให้เป็นพลเมืองชั้น 2 ขัดต่อประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 49 ทวิและขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 5 มาตรา 26 และมาตรา 27
นายอนันต์ชัย กล่าวว่า ที่ดินเกาะเต่า ชาวบ้านได้มีการจับจอง ครอบครองทำประโยชน์และอาศัยอยู่มาตั้งแต่ก่อนปี 2480 ต่อมาปี 2485 กรมราชทัณฑ์ได้ก่อสร้างเรือนจำเนื้อที่ 25 ไร่ เพื่อย้ายนักโทษ 54 คน จากเกาะตะรุเตา มาอยู่ที่เกาะเต่าจนถึงปี 2487 มีการปล่อยตัวและอภัยโทษ ส่วนเรือนจำดังกล่าวถูกทิ้งร้าง ทำให้ในปี 2490 กระทรวงการคลังมีการประมูลขายสิ่งปลูกสร้างเรือนจำ และปัญหามาเกิดขึ้นในปี 2497 ที่ประมวลกฎหมายที่ดินเริ่มใช้บังคับ และให้ราษฎรที่ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินไปขึ้นทะเบียนสิทธิครอบครองที่ดินตามแบบการแจ้ง (ส.ค.1) ภายใน 180 วัน แต่ชาวบ้านก็ไม่สามารถไปแจ้งสิทธิการครอบครองได้ เนื่องจากวันที่ 4 พ.ค. 2498 ตัวแทนกระทรวงการคลังในขณะนั้นได้แจ้งการครอบครองที่ดินเกาะเต่าเนื้อที่ 15,000 ไร่ คือครอบคลุมทั้งเกาะ ทั้งที่ถ้าจะแจ้งต้องแจ้งแค่ 25 ไร่ ที่กรมราชทัณฑ์เคยครอบครอง การกระทำดังกล่าว จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และทำให้ราษฎรไม่สามารถแจ้งสิทธิครอบครองที่ดินได้จนถึงปัจจุบัน
นายอนันต์ชัย กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาชาวบ้านมีการยื่นหนังสือร้องเรียนกับหลายหน่วยงานรัฐ โดยปี 2561 ยื่นร้องเรียนต่อแม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรภาค 4 (กอ.รมน.ภาค 4) ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดสุราษฎร์ธานี แลผู้ว่าราชการจังหวัดได้มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อแก้ไขปัญหาที่ดินแปลงเกาะเต่าเพื่อหาข้อเท็จจริง มี พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองบัญชาการช่วยรบที่ 4 เป็นประธานคณะทำงาน จากนั้นปี 2562 ยื่นต่อผู้ตรวจการแผ่นดินขอความเป็นธรรมในการพิสูจน์สิทธิที่ดินและขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงแรมและใบอนุญาตเกี่ยวกับอาคาร ผลการสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานและลงพื้นที่เพื่อสอบข้อเท็จจริงของหน่วยงานต่างๆ มีความเห็นตรงกันว่า เกาะเต่าไม่เป็นที่สงวนหวงห้ามตามกฎหมาย การขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุแปลงเกาะเต่าไม่ถูกต้อง การแจ้งสิทธิครอบครองที่ดิน ส.ค.1 ของตัวแทนของกระทรวงการคลัง เมื่อ 4 พ.ค 2498 ครอบคลุมทั้งเกาะคาดเคลื่อน ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
และเมื่อพิจารณาจากผลการตรวจพิสูจน์อายุพืชผล อาทิ ต้นมะพร้าวในพื้นที่เกาะเต่า ซึ่งมีอายุการปลูกตั้งแต่ 2477-2475 การสอบปากคำราษฎรผู้สูงอายุและทายาทจำนวน 47 ราย บ่งชี้ว่าราษฎรมีการถือครองและใช้ประโยชน์ในที่ดินเกาะเต่ามาก่อนการแจ้งสิทธิครอบครองที่ดินของตัวแทนกระทรวงการคลัง แต่เมื่อแจ้งไปยังกรมธนารักษ์ ซึ่งเป็นผู้ที่ขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุ กลับนิ่งเพิกเฉยจนถึงปัจจุบัน ทำให้ล่าสุดราษฎรเกาะเต่า ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองนครศรีธรรมราช เพื่อขอให้มีคำสั่งเพิกถอนทะเบียนที่ราชพัสดุและแบบการครอบครอง ส.ค.1 ทั้งเกาะจำนวน 15,000 ไร่ โดยเป็นของกรมธนารักษ์เพียง 25 ไร่เศษ ส่วนอีก 14 ,975 ไร่ ขอให้ราษฎรเกาะเต่ามีสิทธิที่จะขอออกโฉนดที่ดินที่ตนครอบครอง
“แต่เมื่อเราลงพื้นที่และตรวจดูข้อกฎหมายพบว่า ยังมีปัญหาใหญ่คือกฎกระทรวงฉบับที่ 43 ข้อที่ 14 (3) ที่จำกัดสิทธิของคนบนเกาะทุกเกาะไม่เฉพาะเกาะเต่า ให้ไม่สามารถขอออกโฉนดที่ดินตามมาตรา 59 ทวิประมวลกฎหมายที่ดิน เหมือนว่าชาวเกาะเป็นพลเมืองชั้น 2 ของประเทศไทย จึงอยากให้ผู้ตรวจการแผ่นดินใช้อำนาจยื่นเรื่องขอให้ศาลปกครองพิจารณาเพิกถอน และแก้ไขโดยยกเลิกคำว่าเกาะ หากมีคำวินิจฉัยว่าขัดและมีการแก้ไข หรือการต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ โดยให้สามารถใช้การสืบสิทธิได้แค่นี้ ก็ถือเป็นคุณูปการกับชาวเกาะทั่วประเทศไม่เฉพาะเกาะเต่า” นายอนันต์ชัย กล่าว
นายอนันต์ชัย กล่าวอีกว่า ในวันที่ 20 พ.ย. จะไปยื่นเรื่องนี้ต่อ น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สว. ให้ตั้งกระทู้ถามและถ้าเปิดประชุมสภาก็จะไปยื่นเรื่องต่อคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน เพราะก็ได้มีการตรวจสอบเรื่องนี้และมีความเห็นไปในลักษณะเดียวกัน แต่กรมธนารักษ์ยังตีมึนคิดว่าตัวเองเป็นหน่วยงานรัฐ ตนจะสู้จนวินาทีสุดท้าย ดูว่าระหว่างความชอบธรรมสิ่งที่ถูกกฎหมายกับผิดกฎหมาย อะไรจะแน่กว่ากัน อย่าคิดว่าเป็นหน่วยงานรัฐแล้วทำถูกเสมอไป ฉะนั้นกรมธนารักษ์เจอทนายอนันต์ชัยแน่ ไม่ว่าจะศาลปกครองนครศรีธรรมราช หรือศาลยุติธรรม ที่ศาลจังหวัดสมุย.