คอการเมืองคงรอดูผลพวงการหาเสียงเลือกตั้ง เพื่อช่วงชิงเก้าอี้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) อุดรธานี จะกระทบกับการเมืองระดับชาติมากน้อยแค่ไหน เพราะตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา บรรดาผู้ช่วยหาเสียงของพรรคประชาชน (ปชน. ) ต่างออกมาตอบโต้ “นายทักษิณ ชินวัตร “อดีตนายกรัฐมนตรี และผู้ช่วยหาเสียงจากพรรคเพื่อไทย (พท.) อย่างรุนแรง แบบไม่เคยมีมาก่อน หลังอดีตนายกฯพูดจาพาดพิง “นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ“ ประธานคณะก้าวหน้า อย่าไปรื้อโครงสร้างให้มากเกินไป และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์” อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล( ก.ก ) ทำนอง ว่า กลัวแพ้ถึงกับต้องบินจากสหรัฐฯ แต่ก็ถูกสวนกลับ ชี้ถึงผลการเลือกตั้งเมื่อปี 66 พรรคก.ก. ก่อนจะถูกยุบกลายมาเป็น “ ปชน.” ได้เสียงมาเป็นอันดับหนึ่ง ทั้งพื้นที่บ้านเกิดนายทักษิณ กรุงเทพมหานคร(กทม. ) และอีกหลายพื้นที่ จนเกือบได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่ด้วยมีแนวทางในการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ทำให้ในที่สุดต้องตกสวรรค์กลายมาเป็นแกนนำพรรคฝ่ายค้าน และในที่สุดยังถูกศาลรัฐธรรมนูญ (รธน. ) มีมติยุบพรรค จนกลายสภาพมาเป็นพรรคปชน. ในที่สุด

ยิ่งในช่วงสัปดาห์นี้เป็นโค้งสุดท้าย ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งในวันที่ 24 พ.ย. เชื่อว่า พรรคต้นสังกัดคงงัดกลเม็ดเด็ดพราย มาใช้เป็นไม้เด็ดเพื่อหวังในการคว้าชัยในโค้งสุดท้ายให้ได้ โดยพรรคพท.ส่ง”ป๊อป” ศราวุธ เพชรพนมพร อดีต สส.อุดรธานี ผู้สมัครหมายเลข 2 ส่วนพรรคปชน.ส่ง”ทนายแห้ว” คณิศร ขุริรัง“ลงสมัคร ผู้สมัครหมายเลข 1 ซึ่งพรรคแกนนำรัฐบาลยกให้อุดรธานี เป็นเมืองหลวงของของคนเสื้อแดง ส่วนแกนนำพรรคฝ่ายค้านยกให้เป็นเมืองของประชาธิปไตย

ขณะที่ในระหว่างเปิดปราศรัย เลือกตั้งนายกอบจ.อุดรธานีที่ อ.เพ็ญ “นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ที่ปรึกษาประธานคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงพรรคปชน. ปราศรัยตอนหนึ่งว่า เส้นแบ่งการเลือกตั้งครั้งนี้คือการเลือกตั้งของ 2 พรรค อยากเชิญชวนทุกคนให้ลองถามตัวเองว่าพรรคใด ผู้สมัครคนใดที่พร้อมสู้ เพื่อครอบครัวของคนอุดรธานีมากกว่า ใครพร้อมสู้เพื่อโอกาสทางเศรษฐกิจของชาวอุดรธานีมากกว่า ใครเข้าใจปัญหาคนป่วยที่ไม่มีเตียง ไม่มีหมอ และความรุนแรงของโรคร้ายผู้สูงอายุมากกว่า จาก 20 อำเภอ 160 กว่าตำบลในอุดรธานี นายคณิศรไปมาครบแล้ว นี่คือความต่างของผู้สมัคร คณิศรมีประสบการณ์เคยเป็นรองนายก อบจ. เคยเป็นประธานสภาทนายความ มีประสบการณ์และจะต่อสู้ทุกวันเพื่อครอบครัวของพวกท่าน ไม่ใช่เพื่อครอบครัวของคนอื่นอย่างแน่นอน

“พรรคปชน.สืบต่ออุดมการณ์มาจากอดีตพรรคอนาคตใหม่(อนค.) และพรรคก.ก. ทำทุกอย่างเต็มที่ จะแพ้หรือชนะก็เป็นแบบนี้เหมือนเดิม คิดแบบนี้มีแต่ชนะกับพัฒนา ไม่มีแพ้ เราจะแพ้เมื่อเราหยุดเดิน ตราบใดที่เราไม่หยุดเดิน เราชนะแน่นอน อีก 9 ปีจะกลับมาเป็นนายกฯ ที่ดีกว่าเดิม หลังโดนยุบพรรคตัดสิทธิ์ ก็ไปหาความรู้ที่ต่างประเทศ ไปอยู่ที่นู่น ก็ไม่เสียเวลาเปล่า อยู่เป็น เย็นพอรอได้ จะกลับมาเป็นนายกฯ ที่ดีกว่าเดิม” นายพิธา กล่าว

จากนี้ต้องรอดูว่า ผลพวงจากการตอบโต้ทางการเมือง จะส่งผลกระทบถึงความสัมพันธ์ระหว่าง พรรคพท.และพรรคปชน. หรือไม่ เพราะกลุ่มการเมืองที่ใช้สีส้มเป็นสัญลักษณ์ มีความพยายามผลักดันกฎหมายหลายฉบับ เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรฯ ซึ่งบางฉบับเป็นร่างพ.ร.บ.ที่เกี่ยวข้องกับการเงิน ซึ่งต้องอาศัยการรับรองจากหัวหน้ารัฐบาล จากนี้จะไปได้รับความร่วมมือหรือไม่ ซึ่งก่อนหน้านั้น “ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ์” ประธานคณะกรรมมาธิการ(กมธ.) การพัฒนาการเมืองฯ ได้ขอเข้าพบ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ เพื่อให้ช่วยหาเสียงสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ (รธน.) หลังจากขอเข้าพบประธานรัฐสภาและประธานศาลรธน. โดยทั้งสองฝ่ายตอบรับ

อีกทั้งพรรคปชน.ยัง ได้เสนอร่างแก้ไขรธน แบบรายมาตรา เข้ามาแล้ว รวม 17 ฉบับ โดยเฉพาะ.ร่างแก้ไขรธน.มาตรา 256 ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรธน. โดยสาระสำคัญ คือ ตัดเงื่อนไขที่ต้องใช้เสียงสมาชิกวุฒิสภา( สว.) ร่วมโหวตเป็นจำนวนตามเกณฑ์กำหนด โดยเปลี่ยนใช้เสียง ส.ส.เห็นชอบทั้งหมด และมีเงื่อนไข คือ ต้องได้เสียง ส.ส.เห็นชอบ ไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของสมาชิกที่มีอยู่ของสภาฯ

หากไม่ได้รับความร่วมมือจากพรรคพท. ยากจะผ่านความเห็นชอบจากสภาฯ เพราะพรรคการเมืองส่วนใหญ่ ล้วนมีแนวทางในการขับเคลื่อนทางการเมือง แตกต่างจากพรรคก.ก. อีกทั้ง” นายทักษิณ”ประกาศว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้าคาดว่าจะได้สส. 200 ที่นั่ง ส่วนพรรคปชน. มีเป้าหมาย หวังได้สส. 270 เสียง เพื่อนำมาสู่การเป็นพรรครัฐบาลเพียงพรรคเดียว หนทางที่ทั้งสองจะปะทะกัน

ทั้งอีกในการเลือกตั้งสนามท้องถิ่นหลายสนาม ร่วมการช่วงชิงคะแนนนิยมของประชาชน ผ่านทั้งการบริหารประเทศ และการทำหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติ คงมีความดุเดือดและเข้มข้นมากขึ้นกว่าเดิม เพราะหวังช่วงชิงอำนาจรัฐ เชื่อได้เลยงานนี้ไม่มีใครยอมใคร

ส่วนพรรคพท.ก็มีความมั่นใจ หลัง ”นายทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ระบุว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้าจะได้สส.เกิน 200 ที่นั่ง ทำให้บรรดา สส. พรรคแกนนำรัฐบาลก็มีความมั่นใจ โดย “นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ” สส.บัญชีรายชื่อ และประธาน สส.พรรคพท. กล่าวว่า ไม่ใช่แค่เพียงแต่ท่านที่มองแบบนั้น แม้แต่ตนก็มองว่าเกิน 200 เสียงเช่นกัน เพราะขณะนี้รัฐบาลทำให้ราคาพืชผลทางการเกษตรขยับขึ้น เช่น ข้าวหอมมะลิ 12-13 บาท ยางก้อนถ้วย 30 กว่าบาทต่อกิโลกรัม จากเดิมอยู่ที่ 16-17 บาทต่อกิโลกรัม โดยมีราคาขึ้นเท่าตัว

ขณะที่โครงการเติมเงินดิจิทัล 10,000 บาทก็กำลังเดินหน้าไปได้ด้วยดี รวมถึงการเอาจริงเอาจังกับปราบปรามเรื่องยาเสพติด จากปัจจัยเหล่านี้ถามว่าทำไมเราจะไม่ได้เกิน 200 เสียง ส่วนพวกนักร้องทั้งหลายที่เห็นท่านเคลื่อนไหว จะต้องหาเรื่องร้องตลอดเวลา ถามว่าจะกลัวท่านทำไม บางคนร้องก็เป็นประโยชน์ แต่บางคนร้องเพื่อให้ได้อะไรจากใครหรือทำเพื่อใคร เห็นหลายคนโดนคดีกันเยอะ อย่าร้องกันเลอะเทอะเลย

ขณะที่วิบากกรรมของพรรคปชน. อันเนื่องมาจากการเสนอแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ก็ยังไม่จบไม่สิ้น หลังศาล รธน. มีมติยุบพรรคก.ก. จนกลายมาเป็น”ปชน.” ในส่วนของสส. 44 คนที่ลงชื่อในการเสนอแก้ไขกฎหมายดังกล่าว ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช. ) กำลังสอบสวน ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับจริยธรรม ซึ่งหากมีการชี้มูลความผิด บทลงโทษอาจถึงขั้นตัดสิทธิ์ตลอดชีวิต

ด้าน ”นายรังสิมันต์ โรม” สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคปชน. ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบการพิจารณาคดี 44 สส.อดีตพรรคก.ก. ที่ลงชื่อแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ของ ป.ป.ช. ว่า ยังไม่ทราบรายละเอียดว่า ป.ป.ช.ดำเนินการถึงขั้นไหนแล้ว แต่ก็ติดตาม และยังไม่มีความคืบหน้าอะไร โดยต้องการเปรียบเทียบ คือได้ยื่นเรื่องร้องป.ป.ช.หลายเรื่อง และจะรอดูว่าสุดท้ายหลายๆเรื่อง มีข้อมูลหลักฐานจำนวนมาก ทำไมคดีเหล่านั้นยังช้าอยู่ จึงจะรอดูว่าสุดท้ายการใช้อำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช.จะเป็นไปโดยชอบและไม่เลือกปฏิบัติหรือไม่ เมื่อถามว่ามีการมองว่าสส.ที่มีคดีในป.ป.ช.ลดบทบาทตัวเองลงเพราะรอดูผลคดีนี้ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า คิดว่าไม่น่าเกี่ยวกัน พวกเราก็ทำหน้าที่ เรารู้อยู่แล้วว่าการเป็น สส.พรรคปชน. มันไม่ง่าย มีหอกดาบที่รอคอยเราอยู่ เราจะแก้ปัญหาโครงสร้างทางการเมือง สะเทือนถึงผู้มีอำนาจอย่างไร และผู้มีอำนาจเหล่านั้นก็คงจะไม่แฮปปี้กับการ ที่เราพยายามจะแก้ปัญหาโครงสร้างของประเทศไทย ดังนั้นเมื่อเป็นแบบนี้เราก็ต้องยอมรับว่า การที่เรามาสู้ในรูปแบบนี้มีความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียสถานะทางการเมือง การดำเนินคดี

นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า การแก้กฎหมายเป็นอำนาจนิติบัญญัติ แต่กลับมีการดำเนินคดีกับคนที่ไปแก้กฎหมายซึ่งเป็นอำนาจของเรา ป.ป.ช. ที่ตรวจสอบในเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น ถามว่าเป็นการทุจริตคอร์รัปชั่นหรือไม่ ดังนั้นคิดว่าคงต้องรอดูว่าสุดท้ายบรรทัดฐานเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร ถ้ายังเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ต่อไปการแก้กฎหมายอะไรก็แล้วแต่ จะกลายเป็นว่าสามารถดำเนินคดีกันได้หมด เรื่องไหนมีคนไม่ชอบ ก็จะไปร้อง สุดท้ายการแก้กฎหมาย ก็คงจะไม่ได้อยู่ในอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ และคงอยู่ในมือของผู้มีอำนาจไม่กี่คนที่กุมดาบในการประหารชีวิตนักการเมืองที่ประชาชนเลือกมา

“ผมคิดว่าประเทศแบบนั้นเป็นประเทศที่อันตราย เป็นประเทศ ที่จะนำไปสู่วิกฤตที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น ผมยืนยันว่าการทำหน้าที่ของเราเป็นการทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา สุดท้ายเสียงส่วนใหญ่ในสภาอาจจะโหวตไม่เห็นชอบหรือเห็นชอบก็ได้ แต่มันเป็นวิถีของระบอบประชาธิปไตย เป็นวิถีของสภาที่จะต้องมีคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยซึ่งเป็นเรื่องปกติ” นายรังสิมันต์ กล่าว

เชื่อว่าหลายคนจับตามอง บทสรุปในการตรวจสอบจริยธรรมของ 44 สส. พรรค ก.ก. ที่ลงชื่อในการขอแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยเฉพาะถ้าหากมีมติชี้มูลความผิด เท่ากับ พรรคปชน. ต้องเผชิญวิกฤติรอบใหม่ ซึ่งต้องมารอลุ้น จะต้องสูญเสีย สส. ที่ร่วมลงชื่อไปอีกกี่คน

“ทีมข่าวการเมือง”