เมื่อวันที่ 16 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลฎีกา ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เมื่อวันที่ 13 พ.ย. ที่ผ่านมา ได้มีการพิจารณาคดีระหว่าง พนักงานอัยการ โจทก์ ยื่นฟ้อง พระเมธีสุทธิกร หรือ พระราชอุปเสณาภรณ์ หรือพระมหาสังคม หรือ สังคม ญาณวฑฒโน หรือ นายสังคม สังฆะพันธ์ จำเลยที่ 1 พระวิจิตรธรรมาภรณ์ หรือ พระมหาเทอด หรือ เทอด ญาณวชิโร หรือ นายเทอด วงศ์ชะอุ่ม จำเลยที่ 2 นายทวิช สังข์อยู่ จำเลยที่ 3 เรื่อง ความผิดต่อ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน โดยศาลฎีกา พิพากษายืน ตามที่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโจทก์มานั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
สำหรับคดีนี้ อัยการโจทก์ยื่นฟ้องกรณีที่มีการทุจริตเงินงบประมาณสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ในการจัดสรรเงินอุดหนุนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา 10 ล้านบาทให้วัดสระเกศฯ จากงบฯ ปี 2557 ทั้งหมด 72 ล้านบาท ทั้งที่วัดสระเกศฯ ไม่มีโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จึงไม่มีสิทธิได้รับงบนี้ โดยอดีตพระทั้ง 2 รูป มีอำนาจในการปกครองคณะสงฆ์ มีสถานะเป็นเจ้าพนักงานตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ได้ร่วมกันลงชื่อเบิกถอนเงินจากบัญชีวัดสระเกศฯ โดยมีนายทวิช จำเลยที่ 3 เป็นผู้รับมอบอำนาจ เมื่อปี 2558 ไปใช้ในกิจการอื่น ทั้งที่เป็นงบฯ แผนสำหรับอุดหนุนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ต่อมาโจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1-2 เป็นพระสงฆ์ จำเลยที่ 1 มีสมณศักดิ์ชื่อพระเมธีสุทธิกร จำเลยที่ 2 มีสมณศักดิ์ชื่อพระวิจิตรธรรมาภรณ์ ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ ซึ่งตำแหน่งของจำเลยที่ 1-2 เป็นตำแหน่งในการปกครองคณะสงฆ์จึงมีสถานะเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญาและคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกจำเลยที่ 1-2 คนละ 6 ปี 24 เดือน ปรับคนละ 168,000 บาท อย่างไรก็ตาม จำเลยที่ 1-2 ไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนดคนละ 1 ปี ยกฟ้องจำเลยที่ 3
จำเลยที่ 1-2 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ข้อเท็จจริงที่โจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องเข้ามาใหม่ภายหลังที่ได้ยื่นคำฟ้องต่อศาลแล้ว โดยกล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 3 ถอนเงินออกจากบัญชีวัดสระเกศฯ จำนวน 10 ล้านบาท เป็นทรัพย์สินที่นายพนม ศรศิลป์ ผอ.พศ. ในขณะนั้น กับพวกรวม 4 คน ได้มาจากการกระทำความผิดต่อหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญาหรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายอื่น เพิ่งปรากฏในชั้นพิจารณา จากคำให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ของจำเลยทั้งสาม ไม่ได้มีมาตั้งแต่ชั้นสอบสวน ทั้งเป็นการแก้ไขคำฟ้องในข้อเท็จจริงอันเป็นความผิดมูลฐานที่เกิดจากการกระทำความผิดของ นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.พศ. คนก่อน กับพวกรวม 5 คน อันเป็นความผิดมูลฐานตามที่สอบสวนไว้เดิมนั้นเป็นคนละคนกับนายพนม ที่ร่วมกับพวกรวม 4 คน กระทำความผิดต่อหน้าที่ตำแหน่งราชการ ที่ขอแก้ฟ้อง ทั้งเงินที่โอนเข้าบัญชีก็เป็นเช็คคนละฉบับกัน เป็นงบฯ จัดสรรให้คนละโครงการกัน ซึ่งมีวัตถุประสงค์แตกต่างกันและคนละปีงบประมาณ อันเป็นมูลเหตุที่สาระสำคัญของการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน ต่างกรรมต่างวาระกัน เป็นเหตุการณ์นอกเหนือไปจากการที่พนักงานสอบสวนได้สอบสวนและแจ้งข้อกล่าวหาอันเป็นความผิดมูลฐานตามคำฟ้องเดิม และเป็นสาระสำคัญแก่คดี ไม่ได้เป็นเพียงรายละเอียดบางส่วน ซึ่งต้องแถลงในฟ้องให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริงดังที่โจทก์อ้างมาในคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้อง ทั้งไม่เป็นเรื่องที่เกี่ยว และสืบเนื่องมาจากการกระทำความผิดฐานฟอกเงินตามที่พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนมาแต่แรก ตามคำแก้อุทธรณ์ของโจทก์แต่อย่างใด
จึงไม่ชอบที่ศาลชั้นต้น มีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องไปเช่นนั้น แม้โจทก์จะมีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติม จากนั้นจึงขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องเข้ามาภายหลัง ก็เป็นการไม่ชอบและขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา อันเป็นผลเท่ากับว่าโจทก์ฟ้องคดีโดยไม่ได้สอบสวนในความผิดนั้นมาก่อน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นคดีนี้ได้ ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 มานั้น ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบไม่เห็นด้วย อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในข้อนี้ฟังขึ้น จึงพิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์ สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จากนั้นโจทก์ได้ยื่นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ กระทั่งศาลฎีกาได้พิพากษายืน ตามที่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโจทก์มานั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น