เมื่อ “จ๊อกกิ้ง” กล้ามเนื้อและระบบหายใจของคุณจะทำงานหนักกว่าปกติ ร่างกายผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้น จึงต้องการออกซิเจนมากขึ้น ทำให้นักวิ่งรู้สึกหายใจไม่สะดวก หายใจลำบาก หรือแน่นหน้าอกหากหายใจไม่ถูกต้อง

ระหว่างวิ่งออกกำลังกาย แนะนำให้หายใจเข้าทางจมูก หายใจออกทางปาก

การหายใจแบบนี้มีส่วนช่วยในการควบคุมปริมาณออกซิเจนได้ดีขึ้น เอื้อต่อการดูดซึมไนตริกออกไซด์ เพิ่มการไหลเวียนโลหิต สนับสนุนการลำเลียงออกซิเจนและสารอาหารไปทั่วร่างกาย เพิ่มการระบายอากาศ

การหายใจเข้าออกทางจมูก เหมาะสำหรับการวิ่งช้า ๆ

การหายใจออกทางปากเหมาะสำหรับการวิ่งที่มีความเข้มข้นสูง

การหายใจเข้าทางจมูกและหายใจออกทางปากร่วมกัน เป็นประโยชน์ต่อการวิ่งหรือการเดินขึ้นเนิน การหายใจแบบนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพปริมาณออกซิเจนที่ดูดซึมเข้าสู่เลือด และขับคาร์บอนไดออกไซด์ออกไปได้เร็วขึ้น จึงช่วยเพิ่มความทนทาน เพิ่มประสิทธิภาพการหายใจ และรักษาจังหวะการวิ่งให้คงที่

เพื่อเพิ่มความอดทนในการจ๊อกกิ้ง นอกเหนือจากการหายใจทางจมูกและปากร่วมกันแล้ว ควรฝึกหายใจเข้าลึกๆ ในช่องท้อง (หรือที่เรียกว่าการหายใจด้วยกะบังลม) เมื่อหายใจเข้าลึกๆ อย่างช้าๆ กะบังลมจะลดลงจนสุด ปอดจะขยายเต็มที่ ความจุของทรวงอกเพิ่มขึ้น กระตุ้นการทำงานของกลีบส่วนล่างของปอด ซึ่งมีเลือดในสัดส่วนที่มากกว่ากลีบบน เลือดที่มีออกซิเจนสูงจะไหลเวียนไปยังอวัยวะต่างๆ ได้ง่าย ทำให้เกิดพลังงานเพื่อรักษาการเคลื่อนไหว.

ที่มาและภาพ : Soha