จากกรณี น.ส.สารินี (สงวนนามสกุล) อายุ 30 ปี ภรรยาของ นายนุ คนสนิทของทนายตั้ม ไปลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สน.บางซื่อ ว่าถูกดูดเงินจากบัญชีที่ใช้โอนบิตคอยน์ เพราะโอนเงินไปให้สแกมเมอร์ ที่อ้างเป็นดาราจีน ตามที่ทนายตั้ม อ้างว่า นางจตุพร หรือ “เจ๊อ้อย” วานให้โอนเงินเป็นสกุลบิตคอยน์ ทั้งนี้ในรายละเอียดบันทึกประจำวันระบุว่า น.ส.สารินี มีกระเป๋าเงินออนไลน์ชื่อบัญชีหนึ่งใน Gmail และโอนเงินสกุลบิตคอยน์ให้กับบุคคลไม่ทราบชื่อสกุล โดยใช้วิธีสแกนคิวอาร์โค้ดบัญชีหนึ่ง จำนวน 7 ครั้ง รวมเป็นเงินกว่า 2,276,400 บาท ต่อมาถูกระงับเข้าไม่ได้ แต่มีข่าวว่า ทนายตั้มแจ้งเจ๊อ้อย ว่าถูกดูดเงินจากกระเป๋าดิจิทัลไป 39 ล้าน จนเป็นข่าว ต่อมาตำรวจพบข้อพิรุธการแจ้งความที่ สน.บางซื่อ ในเรื่องนี้ของผู้เสียหาย และรวมถึงข้อสงสัยในการรับแจ้งความ ของ พ.ต.อ.ภูวดล อุ่นโพธิ ผกก.สน.บางซื่อ เป็นเหตุให้ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. สั่งการให้ตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 9 พ.ย. พ.ต.อ.ภูวดล อุ่นโพธิ ผกก.สน.บางซื่อ เปิดเผยว่า ตนรู้จักกับทนายตั้ม 5 ปีแล้ว ตอนนั้นภาพลักษณ์ของทนายตั้มเป็นคนดี เพราะบอกว่าเป็นมูลนิธิทนายประชาชนฯ โดยทนายตั้ม มักจะประสานงานด้านกฎหมายหลายเรื่อง ส่วนกรณีเรื่องที่เกิดขึ้น ทนายตั้ม โทรฯ มาบอกว่า จะมีคนเข้ามาลงบันทึกประจำวัน ยืนยันว่าตนเองก็ไม่รู้ถึงรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องของคดี จนกระทั่งมาตกเป็นข่าว ถึงมารู้ว่าใบบันทึกประจำวันที่ทนายตั้มให้พรรคพวกมาลงไว้ ถูกนำไปหลอก “เจ๊อ้อย”
ยอมรับว่าตอนนี้รู้สึกเครียดและกังวล หลังถูกสังคมโจมตี ว่าตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับ ทนายตั้ม ยืนยันว่าเรื่องนี้สามารถตรวจสอบเส้นทางการเงินของตนเองได้เลย ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน พร้อมยืนยันความบริสุทธิ์ใจของตัวเอง นอกจากนี้ยังถูกสังคมโยงไปถึงว่า เป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีต รอง ผบ.ตร. หรือบิ๊กโจ๊ก ยอมรับว่าเป็นเพื่อนกับบิ๊กโจ๊กและสนิทกันมาก แต่ต่างคนก็ต่างทำหน้าที่ ซึ่งก่อนหน้านี้ตัวเองก็มีโอกาสได้คุยกับบิ๊กโจ๊ก โดยบิ๊กโจ๊กบอกว่า ได้เลิกคบกับทนายตั้ม ไปนานแล้ว เพราะรู้ว่าเป็นคนยังไง
พ.ต.อ.ภูวดล ยืนยันว่า ที่ผ่านมาตัวเองทำมาหากินสุจริต รับราชการเป็นตำรวจ และเปิดร้านขายราดหน้ามานานกว่า 10 ปีแล้ว และที่ผ่านมา ก็เคยนำราดหน้าจากร้านตัวเอง ไปเลี้ยงลูกน้องในที่ทำงาน ที่สถานีตำรวจนครบาลบางซื่อด้วย.