แม้จะยังไม่มีการสรุปผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ครั้งล่าสุดอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีแนวโน้มสูงว่า โดนัลด์ ทรัมป์ จะได้กลับเข้าสู่ทำเนียบขาวเป็นครั้งที่ 2 จึงมีหลายฝ่ายให้ความสนใจว่า การขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำสหรัฐครั้งใหม่ของทรัมป์ จะส่งผลกระทบอย่างไรต่อประเทศไทย

ขณะที่ กมลา แฮร์ริส ประกาศนโยบายที่เน้นการสานต่อจากนโยบายของ โจ ไบเดน ส่วนทรัมป์ซึ่งขึ้นชื่อว่า เป็นผู้นำที่มีแนวคิดสุดโต่ง ได้ประกาศนโยบายที่คาดว่าจะสั่นสะเทือนวงการเศรษฐกิจและการค้าโลกอย่างมาก โดยเฉพาะนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนถึง 60% และอีก 10% สำหรับคู่ค้าประเทศอื่น และเป็นไปได้ว่าจะก่อให้เกิดภาวะเศรษฐกิจโลกหดตัว เกิดสงครามการค้า ซึ่งจะส่งผลกระทบมาถึงประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในฐานะที่สหรัฐเป็นคู่ค้าและตลาดส่งออกที่สำคัญเคียงคู่กันมากับประเทศจีน

นโยบายที่กีดกันจีนอย่างชัดเจน ย่อมทำให้จีนต้องมองหาตลาดแห่งใหม่ ซึ่งเป็นไปได้ว่าไทยคือหนึ่งในตลาดเป้าหมายหลัก จึงต้องระวังผลกระทบจากการนำเข้าสินค้าจีนที่มีราคาถูก ขณะเดียวกัน แม้ว่าไทยจะไม่ต้องรับศึกจากกำแพงภาษีนำเข้าที่สูงลิ่วเหมือนจีน แต่ก็อาจจะต้องรับมือมาตรการกีดกันทางการค้าอื่น ๆ ของสหรัฐ เช่น ระเบียบการควบคุมมาตรฐานสินค้าที่มีความเข้มงวดมากขึ้น รวมถึงการเพ่งเล็งสินค้าของผู้ประกอบการจีนที่มีฐานผลิตในไทย ด้วยความเชื่อว่าจีนต้องการส่งออกสินค้าผ่านไทยเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี

ผู้เชี่ยวชาญหลายองค์กรยังมองว่า หากทรัมป์ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 47 จะทำให้ตลาดหุ้นและเศรษฐกิจของไทยหรือทั้งฝั่งเอเชียมีความผันผวน รวมถึงส่งผลกระทบต่อการลงทุนจากบริษัทต่างชาติ

มีความเป็นไปได้ว่า นโยบาย American First (อเมริกันมาก่อน) ของทรัมป์ อาจทำให้การลงทุนจากต่างชาติในไทยชะลอตัวลง บริษัทสัญชาติอเมริกันอาจตัดสินใจย้ายฐานการผลิตหรือย้ายเงินลงทุนกลับประเทศ ซึ่งคาดว่าอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบอย่างมากคืออุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการถ่ายทอดและพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ อาจจะขาดช่วงหรือหยุดชะงัก

นอกจากนี้ นโยบายตั้งกำแพงภาษีจีนที่สูงถึง 60% ยังจะกลายเป็นตัวเร่งให้เกิดภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐ ส่งผลไปถึงเงินลงทุนที่ไหลเข้าฝั่งเอเชียต้องสะดุด ค่าเงินของประเทศแถบนี้จะอ่อนตัวลง ซึ่งมีทั้งผลดีและผลเสีย ตลาดหุ้นฝั่งเอเชียจะมีมูลค่าน้อยลงและเกิดภาวะผันผวน แต่ขณะเดียวกัน ค่าเงินที่อ่อนลงอาจกลายเป็นโอกาสดีในการส่งออก และเป็นโอกาสเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว

หลายหน่วยงานและสถาบันทางเศรษฐกิจ-การเงินแนะนำในภาพรวมว่า ไทยจำเป็นต้องปรับตัวใหม่ รักษาสมดุลระหว่างจีน-สหรัฐ ให้ได้ นอกจากนี้ ยังต้องหาวิธีกระจายความเสี่ยงทางการค้าโดยการหาคู่ค้าใหม่ ๆ เพิ่มเติม และเตรียมรับมือการเกิดภาวะเงินเฟ้อในประเทศ ซึ่งเป็นผลกระทบต่อเนื่องจากเศรษฐกิจโลกเพราะนโยบายอันแข็งกร้าวของทรัมป์

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES