จากกรณี เจ้าหน้าที่ตำรวจออกหมายจับผู้ต้องหาเครือข่ายดิไอคอน จำนวน 18 ราย รวม 3 บอสดารา ทั้ง กันต์ กันตถาวร, แซม ยุรนันท์ และ มิน พีชญา โดยทั้งหมดถูกนำตัวเข้ามาสอบปากคำที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน-พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เมื่อวันที่ 16 ต.ค. ที่ผ่านมา
อีกทั้ง สื่อต่างๆ ยังได้นำเสนอข่าว “บอสพอล” อย่างล้นหลาม อย่างในรายการโหนกระแส ก็ได้สัมภาษณ์ตำรวจ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย และผู้ที่เคยเกี่ยวข้องกับบริษัทดิไอคอน อาทิ อดีตภรรยา และอดีตผู้บริหาร โดยในช่วงหนึ่งของรายการ อดีตผู้บริหาร กล่าวว่า บอสพอลมีจิตวิทยาในการพูด ในการเล่านิทานเรื่องส้ม ที่สะเทือนใจจนมีคนมาเปิดบิล และปิดการขายได้เป็นจำนวนมาก งานนี้หลายคนมองว่าเป็นจิตวิทยา และทำให้ใครหลายคนต่างสนใจ “นิทานเรื่องส้ม” นั้นมีเรื่องราวเป็นอย่างไรบ้าง ตามที่ข่าวเสนอไปก่อนหน้านี้
เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า “บอสพอล” วรัตน์พล วรัทย์วรกุล ผู้ก่อตั้ง ดิไอคอนกรุ๊ป ได้เคยโพสต์คลิปวิดีโอพูดถึงประเด็นดังกล่าว เมื่อวันที่ 14 ส.ค. 61 โดยบอสพอล กล่าวว่า “เมื่อผมประมาณ 3 ขวบ มันยังพอจำได้เลือนราง วันนั้นก็รู้ว่าเรามีกันแค่สองคน คือผมและแม่ ผมเคยทวงถามกับแม่ว่า “พ่อไปไหน” แม่ก็พยายามจะไม่พูดถึง บอกแค่ว่า “ครอบครัวเราก็มีเท่านี้แหละ” และผมก็ยังจำได้ว่าก่อนหน้านี้เหมือนแม่ไม่ต้องทำอะไร แต่หลังจากที่ผมเริ่มถามแม่ว่า แล้วพ่อหายไปไหน แม่ก็ทำทุกอย่างเองหมดเลย ด้วยการที่แม่เป็นคนที่ไม่ได้เรียนหนังสือสูง ไม่ได้มีความรู้ ในวันที่พ่อทิ้งไป แม่ก็ทำได้แค่เป็นกรรมกรก่อสร้าง ภาพที่ผมจำได้ดี คือ แม่จะต้องเอาผมไปทำงานด้วย แม่อุ้มผมเข้าเอวแล้วก็ขึ้นรถเมล์ กระเตงๆ ไป แล้วพอไปถึงไซต์งานก่อสร้าง”
นอกจากนี้ แม่ก็จะเอาผมวางไว้ที่กองทราย ของเล่นของผมคือกองทราย เพื่อนของผมคือลูกกรรมกรก่อสร้าง แล้วแม่ก็ไปผสมปูน ผูกเหล็ก ขึ้นนั่งร้าน นั่นคือภาพที่ผมเห็นและจำติดตามาตั้งแต่เด็กๆ เห็นว่าแม่เหงื่อไหลเยอะมาก จนเสื้อมันชุ่มไปด้วยเหงื่อแม่ เราเห็นภาพแบบนี้ทุกวัน พอตกเย็น แม่ก็จะกลับมาอุ้มผมที่กองทรายเอาน้ำล้างเนื้อล้างตัว แล้วเอาผมเข้าเอว ยืนต่อแถวยาวเพื่อรับเงินค่าจ้างรายวัน วันละ 150 บาท ซึ่ง 150 บาท สำหรับเราทุกคน อาจจะไม่ใช่เงินที่เยอะ แต่สำหรับผมกับแม่ในวันนั้นมันมีความหมายว่า เราสองคนยังสามารถมีชีวิตรอดไปได้อีก 1 วัน
อีกทั้ง แม่อุ้มผมเข้าเอว แล้วก็เดินต่อแถว จนในที่สุดถึงคิวแม่ที่ได้รับเงิน ผมเห็นอาเฮียคนนึงโยนเงินให้แม่ “อะของคุณ 150” แม่ก็ยกมือไหว้ปลกๆ แล้วก็รีบหยิบเงิน แล้วก็พาผมกลับบ้าน ระหว่างที่นั่งรถเมล์ ก็ดูเหมือนว่าแม่จะมีความสุขที่ได้เงินแล้ว 150 แล้วก็รู้ว่าชีวิตเราแม่ลูกรอดไปได้อีกวัน แม่ก็จูงมือผมเดินไปในตลาด เพื่อที่จะไปซื้อข้าว 1 ถุง แกง 1 ถุง สำหรับกินทั้งวัน แม่จูงมือผมก่อนจะถึงร้านขายข้าวแกง มันจะต้องผ่านแผงขายส้ม ซึ่งผมก็ชอบกินส้มมาก ผมเห็นแล้วว่าแผงขายส้มมันเต็มไปด้วยส้มที่เขากองเรียงกันเหมือนพีระมิดสวยน่ากินมาก ผมกระตุกมือแม่ บอกแม่ว่า “แม่ๆ จะกินส้ม”
ต่อมา แม่ก็หันมามองที่แผงส้ม แล้วแม่บอกว่า “กินไม่ได้หรอกลูก เพราะวันนี้เขาไม่ขาย คนขายไม่อยู่นะเห็นไหม” ผมมองไปตามที่แม่พูด คนขายไม่อยู่จริงๆ ผมเลยรู้สึกว่าไม่เป็นไร ก็อดกิน แม่ก็รีบจูงมือผมผ่านแผงขายส้มแล้วไปซื้อข้าวกับแกง แต่สิ่งที่ต่างออกไปจากวันอื่นๆ พอแม่เลือกข้าวและแกงเสร็จ เสียงด่าจากแม่ค้าข้าวแกงดังลั่นว่า “เมื่อไหร่คุณจะใช้สักทีล่ะ คุณจ่ายๆ มาให้หมดนะ ไอ้ 150 ในมือคุณน่ะ ติดอยู่นั่นแหละ” ผมเห็นหน้าแม่ผม แม่ตกใจมาก แล้วเขาก็รีบเอาเงินที่มีอยู่ทั้งหมดในมือให้คนขายไป แล้วเขาก็รีบจูงมือผมให้พ้นจากตรงนั้น เพราะผมรู้ว่า “แม่อาย”
ทั้งนี้ ตอนแม่จูงมือเดินกลับมา ต้องผ่านแผงขายส้มอีกครั้ง สิ่งที่ต่างไปคือ คนขายมานั่งประจำอยู่แล้ว แล้วผมก็รู้แล้วว่า มันเป็นโอกาสที่ผมจะได้กินส้ม พอเดินผ่านแผงขายส้ม ผมกระตุกมือแม่ “แม่ๆ คนขายมาแล้ว ผมจะกินส้ม” แม่ไม่พูดอะไรสักคำ แต่ได้แต่ร้องไห้ แล้วหันมาบอกว่า “แม่ขอโทษนะลูก เงิน 5 บาท แม่ยังไม่มีปัญญาซื้อส้มให้ลูกกินเลย” ประโยคนั้นมันดังอยู่ในหัวผมตั้งแต่วินาทีนั้น จนทุกวันนี้ ผมรู้สึกว่าผมเป็นตัวปัญหาที่ทำให้แม่ร้องไห้ ผมรู้สึกว่าความอยากได้ของผม มันกลายเป็นภาระที่ทำให้แม่ต้องเดือดร้อน วันนั้นผมรีบบอกแม่ว่า “แม่ไม่เอาแล้วๆ ไม่กิน แม่อย่าร้องไห้” แต่มันไม่ทัน ผมทำแม่เสียใจไปแล้ว แล้วผมก็เรียนรู้ว่า 2 อย่างที่รอไม่ได้ คือ ความสำเร็จ และ ความกตัญญู
ขอบคุณข้อมูล : วรัตน์พล วรัทย์วรกุล