ศึกบาสเกตบอล รายการ “ฟีบ้า เอเชีย คัพ 2025 ควอลิฟายเออร์ส” รอบคัดเลือก เพื่อจะหาประเทศของแต่ละกลุ่มผ่านเข้าสู่รอบต่อไปในการเป็นตัวแทนทวีปไปแข่งขันชิงแชมป์โลก โดยรอบคัดเลือกรอบที่ 3 มีทั้งหมด 6 กลุ่ม ซึ่งทีมยัดห่วงหนุ่มไทย อยู่กลุ่ม A ร่วมกับ ออสเตรเลีย, เกาหลีใต้ และ อินโดนีเซีย แข่งขันแบบพบกันหมดเหย้า-เยือน เท่ากับแต่ละทีมจะแข่งทั้งหมด 6 เกม เพื่อหาทีมที่ผลงานดีที่สุด 2 ทีมของแต่ละกลุ่มผ่านเข้าสู่รอบต่อไป ส่วนอันดับ 3 ของแต่ละกลุ่มจะนำไปเพลย์ออฟกับอันดับ 3 ของกลุ่มอื่นอีกครั้ง
ทีมยัดห่วงหนุ่มไทย แข่งไป 2 เกม ชนะ 1 แพ้ 1 มี 3 คะแนน รั้งอันดับ 3 ของกลุ่ม A เท่ากับอันดับ 2 เกาหลีใต้ แต่ลูกได้-เสียเป็นรองเกาหลีใต้ ส่วนอันดับ 1 ออสเตรเลีย ที่ชนะรวด 2 เกม มี 4 คะแนนเต็ม และอันดับ 4 อินโดนีเซีย แพ้ 2 นัดรวด มี 2 คะแนน เกมที่ 3 วันที่ 21 พ.ย.นี้ ไทย จะพบกับ ออสเตรเลีย ที่สนามอาคารนิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ จากนั้นนัดที่ 4 วันที่ 24 พ.ย. จะเยือนไปเยือน อินโดนีเซีย
ล่าสุด “เฮียต่าย” นายนิพนธ์ ชวลิตมณเฑียร นายกสมาคมกีฬาบาสเกตฯ เผยว่า ทีมกำลังแก้ไขปัญหาเรื่องที่เหล่าผู้เล่นลูกครึ่ง ที่น่าจะติดภารกิจแข่งขันลีกอาชีพอยู่หลายๆ ประเทศ ซึ่งทางลีกจะอนุญาตให้นักกีฬากลับมารับใช้ชาติได้ แต่สุดท้ายก็แล้วแต่ตัวนักกีฬาเองว่าจะกลับมาได้หรือไม่
“โอม” ชนาธิป จักรวาฬ เซนเตอร์ตัวหลักมีทีมจากฮ่องกงและญี่ปุ่น พยายามที่จะดึงตัวให้ไปเล่นในช่วงที่ทีมชาติจะมีแข่ง อีกคนคือ “เฟรดดี้” เฟรเดริค ลิช ก็มีทีมจากญี่ปุ่นติดต่อเช่นกัน ซึ่งเรากำลังดูความเป็นไปได้ว่าทั้งคู่พอจะอยู่ช่วยทีมชาติในเกมที่ 3 และ 4 ได้หรือไม่ หากจัดการให้ทุกอย่างลงตัวได้อย่างน้อยมี 2 คนนี้ไว้ทีมไทยก็จะยังแกร่งอยู่ นอกจากนี้ยังมี 2 ลูกครึ่ง โมเซส มอร์แกน กับ ไทเลอร์ แลมบ์ ที่ยังน่าเป็นห่วงกับการที่กำลังเล่นอยู่ลีกต่างประเทศอยู่ แต่คนที่น่าจะกลับมาช่วยได้แน่นอนก็น่าจะเป็น มาร์ติน บรอยนิก เซนเตอร์ลูกครึ่งไทย-เยอรมัน มากประสบการณ์ ที่เล่นอยู่ในลีกเยอรมนี” เฮียต่าย กล่าว
ประมุขยัดห่วงไทย ยังกล่าวถึงความเป็นไปได้ของผลการแข่งขันที่จะเกิดขึ้นในอีก 2 เกมข้างหน้าว่า ต้องยอมรับว่าในเกมวันที่ 21 พ.ย.ที่จะต้อนรับการมาเยือนของออสเตรเลียนั้น ไทยเรายังห่างจากพวกเขาเยอะ แต่จะพยายามให้ทุกคนสู้อย่างสุดความสามารถ ถึงจะแพ้ก็พยายามแพ้ให้น้อยที่สุด ตนมองว่าเกมนี้จะเป็นแมตช์สร้างความพร้อมเพื่อเตรียมที่จะไปเยือนอินโดนีเซียในเกมที่ 4 ถือเป็นทีมที่เรามีโอกาสมากที่สุดในกลุ่มนี้และไทยเราก็สามารถเอาชนะมาได้ในเกมแรกด้วย โดยโอกาสของไทยเราตอนนี้หากแพ้ออสเตรเลีย ก็มีโอกาสไปแพ้อินโดนีเซียได้แต่ต้องไม่เกิน 17 คะแนน เพราะไทยเราชนะอินโดฯ มาได้ 73-56 ในเกมแรก ระยะห่างคือ 17 คะแนน สรุปง่ายๆ ก็คือหากไทยเราแพ้ทั้งหมดหลังจากนี้แต่แพ้อินโดฯ ไม่เกิน 17 คะแนน และอินโดฯ ไม่สามารถชนะออสเตรเลียและเกาหลีใต้ได้ ไทยเราจะจบอันดับ 3 ของกลุ่ม จะได้รับโอกาสไปเพลย์ออฟกับทีมอันดับ 3 ของอีก 5 กลุ่มต่อไป แต่หากวันที่ 24 พ.ย.ไทยเราบุกไปชนะอินโดฯ ได้ถึงกรุงจาการ์ตา เราก็จะการันตีอันดับ 3 ทันที ซึ่งการที่ไทยเราได้อันดับ 3 จะไปเพลย์ออฟกับทีมในโซนเอเชียใต้และเอเชียตะวันออก ซึ่งทีมเหล่านั้นจะเป็นทีมอาทิ กวม หรือ เลบานอน ที่ทีมเหล่านี้ไทยก็มีโอกาสพอเบียดได้อยู่ ก็ยังพอมีความหวังในการก้าวไปสู่รอบต่อไป
เฮียต่ายกล่าวทิ้งท้ายอีกด้วยว่า ถือเป็นโอกาสอันดีมากๆ เพราะเราแทบไม่เคยมีโอกาสได้ส่งทีมชาติชุดใหญ่เราแข่งขันกับทีมระดับโลกอย่างออสเตรเลีย ที่ปัจจุบันอยู่ในท็อป 7 ของโลกในสนามประเทศไทยเราเองเลย เรายังคงเลือกอาคารนิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติเป็นสังเวียนต้อนรับแขกผู้มาเยือน ด้วยสนามที่ได้รับมาตรฐานและอยู่จุดศูนย์กลางย่านธุรกิจของกรุงเทพมหานครเมืองหลวงของประเทศไทย อยากจะชวนแฟนๆ บาสฯ ไทยและประชาชนชาวไทยทุกๆ คนมาร่วมเชียร์นักกีฬาไทยกันเยอะๆ ในวันที่ 21 พ.ย.67 ในส่วนของนักเรียนนักศึกษาเพียงแค่สวมเครื่องแบบหรือแสดงบัตรนักเรียน นักศึกษาที่จุดจำหน่ายตั๋วหน้าสนามสามารถเข้ารับชมฟรี ส่วนบุคคลทั่วไปเสียค่าเข้าชมคนละ 100 บาท และสามารถติดตามรายละเอียดข่าวสารที่เพจเฟซบุ๊คสมาคมฯ Basketball Sport Association of Thailand
“เราพยายามจะส่งนักกีฬาทีมชาติไทย ชุดที่ดีที่สุดรอสู้กับออสเตรเลีย แม้รู้ว่าเราไม่อาจต้านทานออสเตรเลียได้แต่มั่นใจว่าทุกคนจะสู้อย่างเต็มที่เพื่อให้ผลออกมาไม่น่าเกลียด อยากเห็นภาพที่น่าประทับใจที่คนไทยมาร่วมเชียร์บาสฯ ไทยเต็มสนามอาคารนิมิบุตรเหมือนเกมที่ชนะอินโดฯ เมื่อช่วงเดือน ก.พ.อีกครั้ง ผมเชื่อว่าอย่างน้อยๆ นักกีฬาและทีมงานทุกคนจะได้กำลังใจมหาศาลเพื่อสร้างความมั่นใจก่อนการไปสู้ชี้ชะตากับอินโดนีเซียในวันที่ 24 พ.ย.เกมที่ 4 ต่อไป” เฮียต่ายกล่าว