ปารีส มอเตอร์โชว์ ถือว่าเป็นผู้ที่ริเริ่มงานแสดงรถยนต์ เป็นเจ้าแรกของโลก โดยในอดีตนั้นจะจัดขึ้นทุกๆปี แต่ได้เปลี่ยนมาเป็นจัดทุกๆสองปีแทน นับตั้งแต่ปี 1976 และหลังจากนั้น ก็จะจัดทุกๆปีที่ลงท้ายด้วยเลขคู่นั่นเอง และในปีนี้นั้นก็จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 14 -20 ตุลาคม 2024
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าช่วงเวลานี้ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดี ของวงการรถยนต์ยุโรป และเป็นจังหวะเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อที่สับสน ส่วนหนึ่งมาจากความลังเลและแผ่วลงของกระแส รถไฟฟ้าที่เคยคาดว่าจะมาแรงกว่านี้ เพราะแม้จะพลิกแผ่นดินได้ในประเทศจีน แต่สำหรับประเทศที่ยังมีคนจำนวนมากยังคงเชื่อมั่นกับรถยนต์สันดาปภายใน ทั้งยังคงไม่พร้อมกับการเปลี่ยนแปลง ที่ต้องปรับวิธีคิดในการใช้งาน หรือยังเป็นกลุ่มที่รอเวลา รอสาธารณูปโภค และรอเทคโนโลยีที่เหมาะสม ก็ตาม
แต่ถึงอย่างไรก็ เราก็ได้เห็นการพัฒนารถยนต์ยุโรป โดยเฉพาะจากค่ายฝรั่งเศสที่ เปิดตัวรถยนต์ใหม่หลายๆรุ่นที่ รองรับทั้งระบบไฟฟ้าเต็มตัว แต่ก็สามารถใช้กับ ระบบสันดาปภายในแบบ ไมล์ดไฮบริด, ปลั๊ก-อินไฮบริด ได้ในคันเดียว แน่นอนว่า มันต่างจากในอดีต ที่รถยนต์ไฟฟ้าถูกคิดขึ้นหลังจากที่ผลิตรถสันดาปภายในไปแล้ว ทำให้มันเป็นรถไฟฟ้าที่ อิหลักอิเหลื่อ มีพื้นที่สำหรับแบตเตอรี่น้อย วิ่งได้ไม่ไกล แต่รถในยุคต่อไป จะมีพื้นที่พอเพียงกับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ตั้งแต่แรก และก็ยังเผื่อพื้นที่ไว้สำหรับการติดตั้งเครื่องยนต์สำหรับขายในพื้นที่ๆไม่รองรับรถไฟฟ้าได้อีกด้วย เรียกว่า ปรับวิธีคิดให้ยิ้มได้ทั้งสองฝ่าย
ในงานนี้ นอกจากจะเป็นเวทีของรถยนต์ยุโรปแล้ว รถยนต์ไฟฟ้าจาก จีน หลายๆรุ่น ก็ขอใช้เป็นสถานที่เปิดตัวรถรุ่นใหม่ของตนในยุโรป อาทิ ค่าย บีวายดี (BYD) ได้เปิดตัวรถเอสยูวีรุ่นท็อป “ยังว่าง ยู8” (Yanwang U8) และเอสยูวี “ซีไลอ้อน 7” (Sealion 7) ที่ เรียกเสียงฮือฮาจากสื่อมวลชนยุโรปได้ไม่น้อย เพราะหน้าตาของมันไม่เบาเลย อีกค่ายที่คนไทยเริ่มรู้จักกันบ้างแล้ว ก็คือ เอ็กซ์เผิง (Xpeng) ที่นำเอารถไฟฟ้ารุ่นล่าสุดอย่าง P7+ ที่ใช้ชิพรุ่นล่าสุด “เทอริงชิพ” (Turing chip) ที่ได้ชื่อมาจากนักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษที่เป็นบิดาแห่งคอมพิวเตอร์ ว่ากันว่า ชิฟตัวใหม่นี้จะรองรับระบบปัญญาประดิษฐ์แห่งอนาคตได้นั่นเอง
กลับมาสู่โลกแห่ง ยานยนต์ยุโรป กับบ้าง แน่นอนว่า ที่นี่คือ ปารีส ดังนั้นรถยนต์ฝรั่งเศสต้องเฉิดฉายเป็นพิเศษ และรถที่เป็นหนึ่งในพระเอกของงานนี้ ก็มาจาก แบรนด์ “เรโนลต์” (Renault) แบรนด์ที่คนไทยรุ่นอายุ 30 ปี ขึ้นไปถึงจะคุ้นหู แม้จะไม่คุ้นหูคุ้นตาในบ้านเรา แต่ชื่อชั้นของเรโนลต์ในยุโรปนั้นถือได้ว่าชั้นนำในหมู่รถยนต์มหาชน แม้ว่าในปีที่ผ่านๆมา พวกเขาเป็นผู้นำเรื่องแนวคิดสุดล้ำ ฉีกกรอบ แต่ในปีนี้ เรโนลต์ ขอนำแนวทาง “ย้อนยุค” มาใช้กับรถครอสโอเวอร์ไฟฟ้า รุ่น “เรโนลต์ 4 อีเทค” (Renault 4 E-Tech) และรถแนวคิดสปอร์ตสไตล์ย้อนยุค เรโนลต์ 17 อิเล็คทริค เรสโตม็อด (Renault 17 Electric Restomod)
ความย้อนยุค นี้ถือได้ว่ามาในช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สับสนเกี่ยวกับอนาคต รถยนต์ที่ใช้สไตล์ย้อนยุค จะมอบความอุ่นใจ สบายใจ คลายกังวล โดยบุคลิกหน้าตานั้น เป็นการนำเอาสไตลิ่งของรถมหาชนยอดนิยมในอดีตอย่าง เรโนลต์ อาร์ 4 (Renault R4) รถจากยุคทศวรรษที่ 60 มาใช้ ผลลัพธ์ที่ได้คือ รถแบบครอสโอเวอร์ที่มีหน้าตาเป็นมิตร ดูแข็งแรง เหมาะกับทุกเพศทุกวัย
สำหรับขุมกำลังนั้น รถเรโนลต์ 4 อีเทค ใหม่นี้จะมาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า 100% โดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยว ขับเคลื่อนล้อหน้า 120 แรงม้า หรือ 150 แรงม้า โดยมีให้เลือกทั้งแบบตัวถังแบบปกติ และแบบยกสูง ส่วนแบตเตอรี่นั้นมี 2 ขนาด คือรุ่นมาตรฐาน 40 กิโลวัตต์ชั่วโมง จะวิ่งได้ราว 300 กิโลเมตร ส่วนรุ่นแบตใหญ่ ความจุ 52 กิโลวัตต์ชั่วโมงนั้น ระยะวิ่งจะเพิ่มเป็น 400 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP ซึ่งนับว่าใช้ได้สำหรับรถพิกัดกระทัดรัด เรียกได้ว่า สวย ดูดี แต่ไม่มีหวังได้เจอในบ้านเรา
วนรถสปอร์ตคูเป้ เรโนลต์ 17 อิเล็คทริค เรสโตม็อด นี้ เป็นการจับมือกันระหว่าง แบรนด์เรโนลต์ กับนักออกแบบอุตสาหกรรมชื่อดังของฝรั่งเศสอย่าง ออร่า อิโตะ (Ora Ito) ที่ถึงชื่อจะดูเป็นญี่ปุ่น แต่เขาเป็นฝรั่งแท้ๆ โดยเขาได้นำเอารถสปอร์ตคูเป้ แบบ 4 ที่นั่ง ของเรโนลต์จากปี 1971 มาดัดแปลงแบบโมดิฟายใหม่ในกลายเป็นรถอนาคตได้อย่างไม่ขัดเขิน ด้วยแนวคิดที่เขาให้ชื่อว่า Simplexity อันเป็นการสมาสกันของ Simple + Complexity หรือ การเปลี่ยนความซับซ้อนให้เกิดความเรียบง่ายขึ้น
โดยในการนี้เขาได้ทำการปรับปรุงสัดส่วนให้มันดูทะมัดทะแมงมากขึ้นที่เห็นได้ชัดคือ มันกว้างขึ้นถึง 17 เซ็นติเมตรเพื่อ รองรับกับพลังของมอเตอร์ไฟฟ้า 270 แรงม้า ส่งกำลังขับเคลื่อนลงสู่ล้อหลัง ที่เข้าไปแทน เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร 108 แรงม้าเดิมๆ ที่ขับเคลื่อนล้อหน้า
แต่เครื่องยนต์เดิม แต่ที่โครงสร้างภายในนั้นแทบจะไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่ก็ได้จัดการกับพื้นผิวทุกๆส่วน เห็นได้ชัดจากการออกแบบไฟหน้า ไฟท้ายใหม่ รวมถึงการออกแบบห้องโดยสารใหม่ ให้มีความล้ำสมัย แต่ก็ยังคงมีกลิ่นอายวินเทจเอาไว้ได้ เรียกได้ว่า นักออกแบบนอกจากจะใส่ชีวิตใหม่ให้กับรถอายุ 50 ปีนี้อย่างน่าชื่นชม แต่เขาได้แสดงให้เห็นว่า สเน่ห์ของอดีตสามารถนำมาใช้กับเทคโนโลยีแห่งอนาคตได้ด้วยเช่นกัน การรวมกันระหว่างอดีตและปัจจุบัน จะเป็นรากฐานใหม่ให้กับอนาคต
ก็น่าลุ้นว่าสไตลิ่ง จากรถคูเป้คันเล็กๆคันนี้จะสามารถมีลุ้นได้ออกมา เป็นรถจริงได้หรือไม่ แต่ทางเรโนลต์ได้แย้มออกมาว่า นี่ไม่ใช่แค่การเล่นสนุก แต่เป็นปฐมบทของสิ่งที่กำลังจะมาอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่า แนวทางของเรโนลต์นี้ จะจุดกระแสให้แบรนด์รถยนต์เก่าแก่อื่นๆ ได้นำเอาดีไซน์ของรถที่มีคนหลงรักในอดีตกลับมาปัดฝุ่นใหม่ เพื่อสู้กับเหล่าดีไซน์จากแบรนด์หน้าใหม่ที่ “ไร้ราก” ก็อาจจะเป็นไปได้เช่นกัน … ต้องจับตามองให้ดี เพราะนี่อาจจะช่วยให้รถหลายๆแบรนด์ที่ ปัจจุบันดีไซน์ออกทะเลกันไปไม่น้อย กลับมาสู่ร่องสู่รอยก็เป็นไปได้.