จากกรณีเมื่อวันที่ 10 ต.ค. ปรากฏหนังสือรายงานคดี จากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ได้ส่งไปยังเลขาธิการ ปปง. เรื่อง รายงานคดีซึ่งเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน โดยเนื้อหาภายในเอกสาร ระบุใจความว่า กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ขอส่งแบบรายงานคดีซึ่งเป็นความผิดฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบการการฟอกเงิน
กรณี นายณัฏฐ์ ธนาพิพัฒน์ดลภัค กับพวก (ผู้เสียหาย) รวม 90 ราย รวมความเสียหายประมาณ 35 ล้านบาท เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด กับพวก (ผู้ต้องหา) ในความผิดฐาน ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชนตาม พ.ร.ก.กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน มาตรา 4, 5, 12 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 มาตรา 14 (1) ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 และความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง ตามที่มีการรายงานข่าวไปแล้วนั้น
เกี่ยวกับเรื่องนี้ วันที่ 11 ต.ค. “ผู้สื่อข่าวเดลินิวส์” ได้รับการเปิดเผยจากนายวิทยา นีติธรรม ผอ.กองกฎหมาย และในฐานะโฆษกสำนักงาน ปปง. ว่า ภายหลังจากที่มีหนังสือแบบรายงานคดีซึ่งเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินจาก บก.ปคบ. ที่ส่งมายังสำนักงาน ปปง. นั้น ล่าสุด นายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการ ปปง. ได้มีคำสั่งมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ ปปง. เข้าไปดำเนินการตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยังได้มีการประชุมทีมเจ้าหน้าที่ในเนื้อหาสาระสำคัญ โดยในสัปดาห์หน้าคาดว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นหลังเจ้าหน้าที่ได้ใช้เวลาดำเนินการ ส่วนระหว่างนี้ ปปง. จะต้องทำการตรวจสอบความสมบูรณ์ครบถ้วนจากรายงานข้อมูลของตำรวจ ปคบ. ว่ามีความเพียงพอที่ ปปง. จะดำเนินการตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ได้หรือไม่ หากยังมีรายละเอียดใดที่ ปปง. ประสงค์เพิ่มเติมก็จะต้องทำการสอบถามกลับไปใหม่ เพื่อให้ได้ความถูกต้องชัดเจนมากที่สุด ไม่ว่าจะเรื่องรายการทรัพย์สิน หรือตัวบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องสัมพันธ์
ส่วนรายละเอียดภายในหนังสือแบบรายงานคดีของตำรวจ ปคบ. ที่ส่งให้ ปปง. ดำเนินการตรวจสอบเรื่องทรัพย์สินของบุคคล/นิติบุคคลนั้น โฆษก ปปง. เผยว่า เนื้อหาภายในจะเกี่ยวข้องกับตัวบริษัทที่ปรากฏเป็นข่าวและบุคคลสำคัญที่เกี่ยวข้อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไปตามที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร. ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนไว้ ขณะที่มูลค่าความเสียหายทางตำรวจ ปคบ. ได้แจ้งมาทั้งจำนวนผู้เสียหายและจำนวนเงินที่ได้รับคำร้องทุกข์ คือ ผู้เสียหาย 90 ราย ส่วนมูลค่าความเสียหายเบื้องต้นหลายสิบล้านบาท ทั้งนี้ อาจมีมูลค่าความเสียหายและจำนวนผู้เสียหายเพิ่มขึ้นได้อีก ซึ่งเป็นประเด็นที่ตำรวจ และ ปปง. จะต้องช่วยกันตรวจสอบอย่างเข้มข้นต่อไป
โฆษก ปปง. เผยต่อว่า หากข้อมูลจากตำรวจ ปคบ. ปรากฏข้อเท็จจริงว่าพฤติการณ์ดังกล่าวมีความผิดตามกฎหมายฟอกเงินของ ปปง. เจ้าหน้าที่ก็จะได้ตรวจสอบว่าผู้สัมพันธ์เกี่ยวข้องแต่ละรายมีการครอบครองทรัพย์สินรายการใดบ้าง และทรัพย์สินต่าง ๆ ได้มาอย่างไร จึงจะนำไปสู่กระบวนการดำเนินการกับทรัพย์สิน โดยต้องประมวลเรื่องส่งไปยังที่ประชุมของคณะกรรมการธุรกรรม เพื่อมีมติออกคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินไว้ตรวจสอบชั่วคราว ทั้งนี้ในส่วนของข้อกังวลของสังคมว่า ในระหว่างนี้ที่ยังไม่ปรากฏความผิดมูลฐาน อาจจะมีการจำหน่าย ยักย้าย ถ่ายเททรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาที่ได้มาจากการถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดนั้น ตนต้องเรียนว่ามาตรการป้องกันกรณีดังกล่าวจะเหมือนคดีของ น.ส.กรกนก หรือ แม่ตั๊ก เนื่องจากพนักงานสอบสวนจะสามารถอายัดทรัพย์สินไว้ตรวจสอบเบื้องต้นตามอำนาจของ ป.วิอาญา
นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เย็นวันนี้เวลา 16.00 น. ที่ ทำเนียบรัฐบาล น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้มีการเชิญเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นเลขาธิการ ปปง. เจ้าหน้าที่ตำรวจ ฯลฯ เพื่อหารือแนวทางในเรื่องดังกล่าว เพื่อทำให้กระบวนการแก้ไขปัญหาแก่พี่น้องประชาชนเกิดความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น.