เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่  12 ส.ค. ผู้สื่อข่าว พร้อมด้วย ดร.ภาณุพงศ์ ทิพเศวต อดีตนายกเทศมนตรีเมืองสระบุรี ผู้ใหญ่ใจดี ที่ทราบข่าว ได้เดินทางไปที่บ้านพักคนงานของบริษัท (เอกชน) แห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ด้านหลังสำนักงานเทศบาล ต.หนองบัว อ.บ้านหมอ จ.สระบุรี พบ น.ส.จันทร์สม ศักดี อายุ 67 ปี (ผู้ป่วย) นั่งบนเตียง และลูกชาย ชื่อนายไพรวัลย์ ศักดี อายุ 33 ปี พบนายไพรวัลย์ กำลังสาละวนดูแลทำความสะอาดในตัว น.ส.จันทร์สม ที่อยู่ในสภาพน่าสงสารยิ่งนัก มีก้อนเนื้องอกยื่นออกมาจากบริเวณจมูก ขนาดใหญ่ปิดตาจนมิดเหมือน(งวงช้าง) มีถังพลาสติกขนาดกลางวางอยู่บนตักเพื่อรองรับ น้ำเหลือง ที่ไหลหยดออกมาจากก้อนเนื้อเสียตลอดเวลา และต้องคอยใช้กระดาษทิชชู่ซับไว้ตลอดเวลา หากจะใช้มือทำภาระอย่างอื่นก็ต้องใช้ทิชชู่อุดบาดแผลไว้ ทั้งนี้เพื่อที่จะเตรียมนำพวงมาลัยดอกมะลิ เข้ากราบ น.ส.จันทร์สม ผู้เป็นแม่ ในวันแม่ มีกลุ่มกู้ภัยฯ และเพื่อนบ้านต่างพากันมามุงดูเป็นจำนวนมาก  โดย ดร.ภาณุพงศ์ ทิพยเศวต ได้มอบกระเช้า พร้อมเงินค่าครองชีพจำนวนหนึ่งให้กับ น.ส.จันทร์สม พร้อมกล่าวให้กำลังใจกับ สองแม่ลูก

ส่วนผู้สื่อข่าวได้นำข่าวดีแจ้งให้ น.ส.จันทร์สม กับนายไพรวัลย์ ได้ทราบว่า เรื่องราว ที่ กลุ่มกู้ภัยสว่างรัตน์ฯ จุดบ้านหมอ ได้ร้องขอความช่วยเหลือไปนั้น ทางนายวิบูลย์ สุขอนันตธรรม นายกพุทธสมาคมสว่างรัตนตรัยธรรมสถานสระบุรี ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการ จ.สระบุรี ได้ทราบเรื่องความเดือดร้อนทั้งหมดแล้ว และได้เร่งประสานงานกับ พ.ญ.จิรวรรณ อารยะพงษ์ ผู้อำนวยการ รพ.สระบุรี ขอความกรุณาให้รับเคสผู้ป่วย น.ส.จันทร์สม นี้ด้วย และ ผอ.รพ.สระบุรี ได้ประสานงานผ่าน มายัง รพ.อำเภอบ้านหมอ ให้อำนวยความสะดวกรับผู้ป่วยรายนี้ตามขั้นตอนอยู่ในระบบเพื่อส่งต่อให้ รพ.สระบุรี บำบัดรักษาต่อไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่เบื้องต้น ผู้ป่วย ยังบ่ายเบี่ยงไม่ยินยอมไป รพ.ตามที่ หลายฝ่ายพยายามประสานงานให้การช่วยเหลือ โดยอ้างว่า กลัวถูกเจาะคอ และกลัวเสียต่าใช้จ่ายแพง

นายไพรวัลย์ กล่าวว่า ตนกับแม่ เดิมเป็นชาว อ.ห้างฉัตร จ.ลำปาง ตนเป็นลูกชายคนเล็ก ต่อมา พ่อ กับแม่ แยกทางกัน พ่อ ไปอยู่กับพี่ชาย ที่ จ.ระยอง แม่ตรวจพบโรคร้าย เมื่อปี 2528-2529 แพทย์ ที่ จ.ลำปาง ส่งแม่ให้ รพ.มหาราช ที่ จ.เชียงใหม่ ดูแลเรื่อยมา ต่อมาตน ย้ายมาหางานทำที่ จ.สระบุรี มี แม่มาอยู่ด้วย ก่อนเกิดการแพร่ระบาดโควิด แพทย์ที่ เชียงใหม่เคยนัด ที่จะผ่าตัดเนื้อร้าย ให้แม่ แต่พอดี มีโควิดจึงละเลย เรื่อยมาจนปัจจุบันทำให้แม่ มีสภาพตามที่เห็นในปัจจุบัน ตนเคยจะนำ แม่ไปโรงพยาบาล แต่แม่ไม่ยอมไป เพราะไม่ใช่คนในพื้นที่ ไม่มีสิทธิใช้ 30 บาท แม่กลัวต้องเสียค่าใช้จ่ายแพงสงสารตนที่ทำงานหาเงินคนเดียว หาก แม่ไปอยู่โรงพยาบาล ตนต้องหยุดงานไปเฝ้า ไม่ได้ทำงานวันละ 400 บาท หากหยุดก็ไม่ได้เงิน

กลุ่มผู้สื่อข่าว และ ดร.ภาณุพงศ์ ที่ไปการช่วยเหลือต่างอธิบายและขั้นตอนการได้สิทธิ 30 บาทว่าปัจจุบัน มีบัตรประจำตัวประชาชนใบเดียวก็สามารถใช้สิทธิรักษาได้ทุก รพ.แล้ว จึงขอให้ นายไพรวัลย์ ได้เกลี้ยกล่อม และทำความเข้าใจ กับ น.ส.จันทร์สม ผู้เป็นแม่ ให้ยอมไปโรงพยาบาลรักษาเถอะดีกว่า อยู่เฉยๆ เหมือนรอวันที่ท่านจะจากไปเท่านั้น ซึ่งนายไพรวัลย์ ก็รับปากว่าจะพยายาม หากแม่ยินยอม ก็จะโทรฯ แจ้ง กลุ่มกู้ภัยฯที่เคยเข้ามาช่วยเหลือให้ ช่วยนำส่งต่อไป