ความขัดแย้งบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา ที่ลุกลามไปสู่สงครามปั่นประสาททางการเมืองจนทำลายสายสัมพันธ์รัฐบาลทั้ง 2 ประเทศแบบต่อไม่ติด ซึ่งไทยได้ตอบโต้กลับด้วยการลุยแก้ปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่มีฐานที่ตั้งอยู่ในกัมพูชา พร้อมกับประกาศปิดด่านชายแดนทุกแห่งใน 7 จังหวัด ตัดขาดสาธารณูปโภคสำคัญ ทั้งไฟฟ้า สัญญาณอินเทอร์เน็ต และระงับการส่งออกน้ำมัน ทำลายเส้นเลือดใหญ่ทางเศรษฐกิจของกัมพูชาแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
เสมือนเป็นการราดน้ำมันเข้ากองไฟ ให้ไฟขัดแย้งทั้ง 2 ประเทศลุกโชนหนักกว่าเดิม ซึ่งแม้ตอนนี้ในฟากความมั่นคง ยังไม่มีการปะทะของกองกำลังทหาร และสาดกระสุนเข้าหากัน แต่การเลือกวิธีเปิดสงครามทางเศรษฐกิจก็ทำให้ประชาชน ภาคธุรกิจของทั้ง 2 ประเทศเดือดร้อนกันถ้วนหน้า ดังนั้น ท่ามกลางความขัดแย้งของทั้ง 2 ประเทศยังไม่สิ้นสุด และยังไม่มีทีท่าว่ารัฐบาลจะหาทางออกได้เมื่อไร แต่เรื่องปากท้อง การทำธุรกิจต้องทำต่อในทุกวัน ดังนั้น สิ่งที่ภาคเอกชนทำได้ดีสุด คือการท่องคาถา “อัตตา หิ อัตตาโน นาโถ” ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน ไปก่อน บรรดาภาคเอกชน ต่างดิ้นปรับตัวเพื่อพาตัวเองให้รอดพ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่ปกติ
ค้าชายแดนยังเป็นบวก
อย่างไรก็ตามในแง่ของภาครัฐเองยังมองว่าแม้จะมีการปิดด่านชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ก็ยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก โดย “อารดา เฟื่องทอง” อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ บอกว่า ผลกระทบจากการปิดด่าน จะไม่กระทบต่อการค้าระหว่างไทยไปกัมพูชามากนัก เพราะนอกจากการค้าชายแดนแล้ว ไทยยังส่งออกไปกัมพูชาด้วยช่องทางเรือ หรือทางอื่นอีก เห็นได้จากตัวเลขการส่งออกไทยไปกัมพูชา 5 เดือนแรกปีนี้อยู่ที่ 145,538 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.7% ในจำนวนนี้เป็นการส่งออกผ่านชายแดนเพียง 63,078 ล้านบาท หรือคิดเฉลี่ยต่อเดือนราว 11,000 ล้านบาท แต่หากสถานการณ์ไม่คลี่คลายมีการปิดด่านชายแดนไปจนถึงสิ้นปีนี้ ก็อาจกระทบกับมูลค่าการส่งออกผ่านชายแดนของไทยในช่วง 6 เดือนหลังหายไปกว่า 60,000 ล้านบาทเท่านั้น
“แม้มูลค่าการค้าชายแดนไทยกัมพูชา หายไปกว่า 60,000 ล้านบาทจริง ก็เชื่อว่าไม่กระทบภาพรวมการค้าชายแดนของไทยมากนัก เพราะไทยยังมีการค้ากับเพื่อนบ้านอีก 3 ประเทศ คือ สปป.ลาว เมียนมา และมาเลเซีย ที่เป็นตลาดขนาดใหญ่ ทำให้กรมฯประเมินว่าทั้งปีการค้าชายแดนไทยจะยังเป็นบวกอยู่ 1.8-2% จากเป้าหมายเดิมที่ตั้งขยายตัวไว้ 3% มูลค่ากว่า 1.87 ล้านล้านบาท ขณะที่ผลกระทบต่อผู้ประกอบการร้านค้าทั้ง 2 ฝั่ง กระทรวงพาณิชย์ได้หาทางช่วยเหลืออื่น เช่น หาสถานที่ใหม่ให้ค้าขาย เช่น พื้นที่ส่วนราชการ หน่วยงานเอกชน ห้างต่าง ๆ ไว้แล้ว”
กัมพูชาพึ่งพาไทยมากกว่า
ขณะที่ “ธนิต โสรัตน์” อดีตประธานสภาธุรกิจประเทศลุ่มแม่น้ำโขง และรองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย มองว่า กัมพูชาพึ่งพาเศรษฐกิจจากไทยค่อนข้างมาก โดยกัมพูชามีการส่งออกสินค้ามาไทย 43,099 ล้านบาท มากเป็นอันดับ 1 ของกัมพูชา โดยเฉพาะมันสำปะหลังที่ส่งออกมาถึง 51% ดังนั้นการปิดด่านจะกระทบกับรายได้เกษตรกร นอกจากนี้ไทยยังเป็นตลาดสำคัญของการส่งออกผัก-ผลไม้ของกัมพูชาสัดส่วน 21.5% คิดเป็นกว่า 10,000 ล้านบาท ยังไม่รวมรายได้ สินค้าอื่น ๆ ที่ซื้อขายตามชายแดน
“คำถามว่าใครจะเจ็บตัวมากกว่ากัน คำตอบขึ้นอยู่กับว่าใครจะอึดกว่ากัน โดยภาพรวมเศรษฐกิจกัมพูชาเล็กกว่าไทย 10.6 เท่า การส่งออกกัมพูชาเป็นลูกค้าอันดับที่ 11 แต่ไทยกลับเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของกัมพูชา ขณะที่รายได้ต่อหัวคนไทยสูงถึง 8,271 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี สูงกว่ากัมพูชา 2,823 ดอลลาร์สหรัฐ ที่สำคัญความขัดแย้งที่เพิ่มขึ้น ยังทำให้กัมพูชาได้รับผลกระทบจากภาคท่องเที่ยว เพราะคนไทยเที่ยวมากเป็นอันดับหนึ่งด้วย 1.82 ล้านคน สร้างรายได้กัมพูชา 42,169 ล้านบาท อีกทั้งยังมีแรงงานเขมรเข้ามาทำงานในไทย 800,000 คน ส่งเงินกลับประเทศปีละ 45,000– 50,000 ล้านบาท ไม่นับรวมธุรกิจสีเทา ที่คนไทยนำเงินไปทิ้งในบ่อนกาสิโนอีกมหาศาลด้วย”

ปตท.กระทบน้อย
ด้านผลกระทบต่อธุรกิจพลังงาน ทางฝ่ายวิเคราะห์ บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) มองว่า จากการตรวจสอบข้อมูล ปตท. ซึ่งบริษัทพลังงานที่มีการค้าขายกับกัมพูชา พบว่า ปตท.มีสัดส่วนรายได้จากกัมพูชาเพียง 1% ของรายได้รวม โดยหลักมาจากธุรกิจค้าปลีก เนื่องจากธุรกิจโรงกลั่นส่วนมากกว่า 90% เน้นจำหน่ายในประเทศเพราะกำไรสูงกว่า
นอกจากนี้ ในการอ้างอิงจากข้อมูลไตรมาส 1 ปี 68 หุ้นของ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ มีธุรกิจในกัมพูชา ได้แก่ สถานีบริการน้ำมัน 186 แห่ง คาเฟ่อะเมซอน 254 แห่ง ร้านสะดวกซื้อ 71 แห่ง ถือว่าเป็นสัดส่วนไม่มาก หากเทียบกับจำนวนสถานีบริการน้ำมันทั้งหมด 2.8 พันแห่ง คาเฟ่อะเมซอนทั้งหมด 4.9 พันแห่ง ร้านสะดวกซื้อ 2.4 พันแห่ง ขณะเดียวกันโออาร์มีสัดส่วนรายได้จากกัมพูชาอยู่ที่เพียง 2-3% ดังนั้นคาดว่าจะไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อทั้ง
โออาร์และกลุ่ม ปตท. แต่อย่างใด
ปิดด่านต้นทุนขนส่งพุ่ง
อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของ “วรทัศน์ ตันติมงคลสุข” ประธานสภาธุรกิจไทย–กัมพูชา ฉายภาพให้เห็นว่า การปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา กระทบเศรษฐกิจชายแดนใน 7 จังหวัด โดยเฉพาะด้านการขนส่งทางบก ซึ่งต้องปรับเส้นทางผ่าน สปป.ลาว อ้อมไป จ.อุบลราชธานี เข้าช่องเม็ก ก่อนเข้าเขตเศรษฐกิจพิเศษวังเต่า-โพนทอง แขวงจำปาสัก แล้วถึงลงใต้เข้ามาที่กรุงพนมเปญ ส่วนทางทะเลต้องลงเรือเข้าจากท่าเรือชายฝั่ง คลองใหญ่ จ.ตราด รวมทั้งอาจจะส่งจากท่าเรือคลองเตยหรือท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อส่งออกไปที่ท่าเรือสีหนุวิลล์
ผลกระทบจากการปรับเส้นทางขนส่งนั้น ได้ทำให้ต้นทุนการขนส่งเพิ่มหลายเท่า เช่น เดิมส่งสินค้าผ่านด่านชายแดนสระแก้ว เพื่อส่งสินค้าไปขายที่ศรีโสภณ ปอยเปต หากเปลี่ยนเส้นทางแล้ว จะเพิ่มจากเดิม 500 กม. เป็น 1,500 กม. นอกจากนี้ยังทำให้มูลค่าการนำเข้า–ส่งออกวันละ 500 ล้านบาท หายไปพอสมควร จากราคาสินค้าที่ต้องปรับราคาขึ้นตามต้นทุนขนส่งที่เพิ่ม จนทำให้กัมพูชาอาจต้องสั่งสินค้าจากประเทศอื่นแทน หรือผู้ประกอบการบางรายไม่มีความสามารถส่งสินค้าหรือวัตถุดิบไปกัมพูชาก็ต้องชะลอ
เพิ่มสต๊อกสินค้า 3 เดือน
หันมาที่ “ร่มธรรม เสถียรธรรมะ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท คาราบาว กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มองว่า จากการปิดชายแดนไทย-กัมพูชา ยังไม่กระทบยอดขายคาราบาวแดง เนื่องจากมีพันธมิตรและตัวแทนจำหน่ายที่มีสต๊อกสินค้าไว้แล้วระดับหนึ่ง แต่หากปัญหายืดเยื้อออกไป บริษัทต้องหาทางจัดการเรื่องโลจิสติกส์อย่างเข้มข้น เพราะต้องหาสินค้ารองรับการขายเฉลี่ย 40 ล้านกระป๋องต่อเดือน หรือสต๊อกให้ได้ 3 เดือน คิดเป็นจำนวน 120 ล้านกระป๋อง ทำให้การขนส่งต้องใช้ตู้คอนเทเนอร์เป็นจำนวนมหาศาล หรือประมาณ 1,500 ตู้
อย่างไรก็ตาม คาราบาวแดงเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในกัมพูชา มียอดขายต่อปี 2,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้มีการหารือกับพันธมิตรอย่างใกล้ชิดถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ระยะสั้นสิ่งที่กระทบคือการต้องเพิ่มสต๊อกสินค้าเป็น 3 เดือน ซึ่งยอดขายตอนนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 40 ล้านกระป๋องต่อเดือน จึงถือเป็นงานค่อนข้างยาก จากปัจจุบันมีสินค้าสต๊อกประมาณ 1 เดือน ซึ่งอาจต้องเร่งเปิดโรงงานที่ลงทุนไว้ในกัมพูชา หลักพันล้านให้ไวขึ้น จากเดิมที่จะเปิดโรงงานช่วงคริสต์มาส 68 เพื่อช่วยเพิ่มกำลังการผลิตและหวังว่ากว่าจะถึงวันเปิดโรงงานสถานการณ์ขัดแย้งจะคลี่คลายได้
โฟกัสตลาดอื่นแทน
ส่วน “พันธ์ พะเนียงเวทย์” ผู้จัดการใหญ่ ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายบะหมี่สำเร็จรูปยี่ห้อ มาม่า บอกว่า จากปัญหาระหว่างไทยกับกัมพูชา ทำให้ต้องปิดชายแดนทุกด่านนั้น แน่นอนว่ากระทบกับการจำหน่ายสินค้าในด่านชายแดน รวมถึงโรงงานมาม่าในกัมพูชา โดยเฉพาะการส่งวัตถุดิบไปผลิตสินค้า แต่ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการขายในประเทศถึง 70% และส่งออกใน 76-78 ประเทศทั่วโลก สัดส่วน 30% ดังนั้น ในกัมพูชาจึงเป็นเพียงตลาดหนึ่งเท่านั้น จึงเชื่อว่าจะไม่กระทบกับภาพรวมของบริษัท
ทั้งนี้ เมื่อมีปัญหาในกัมพูชาก็หันไปโฟกัสการทำตลาดในประเทศอื่นทดแทน ขณะเดียวกันยังเริ่มเน้นตลาดในประเทศมากขึ้น โดยจะหยุดแผนการลงทุนสร้างโรงงานเพิ่มในประเทศฮังการี จากปัจจุบันเข้าไปตั้งโรงงานแล้ว 1 แห่ง แล้วหันกลับมาสร้างโรงงานใหม่ในประเทศไทยเพิ่มอีก 1-2 ไลน์การผลิต เพราะมองว่ามีความคุ้มค่ากว่าในประเทศฮังการี อย่างไรก็ตาม แนวทางปีนี้บริษัทเน้นให้ความสำคัญกับการควบคุมต้นทุนและบริหารต้นทุนที่ควบคุมได้

ตัดเน็ตกระทบธุรกิจไทย
ด้านมาตรการทางการสื่อสาร สำนักงาน กสทช. ได้ออกหลายมาตรการ อาทิ ประสานแจ้งกรมศุลกากรห้ามมีการขนซิมไทยออกนอกประเทศ รวมถึงการระงับการเชื่อมต่อโครงข่ายอินเทอร์เน็ต สัญญาณโทรศัพท์ไปยังกัมพูชา โดยปัจจุบันมีผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมที่มีโครงข่ายเป็นของตนเองที่มีจุดเชื่อมต่อออกต่างประเทศบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ทั้งสิ้น 14 บริษัท ซึ่งขณะนี้ได้หยุดให้บริการเชื่อมต่อโครงข่ายระหว่างประเทศไปยังกัมพูชาแล้ว
อย่างไรก็ตาม การตัดสัญญาณไปยังกัมพูชานั้น ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจเอกชนไทยที่เข้าไปลงทุนในกัมพูชา หากไม่สามารถใช้โครงข่ายอินเทอร์เน็ตจากผู้ให้บริการของไทยก็ต้องปรับเปลี่ยนไปใช้บริการของ 9 บริษัทที่ให้บริการในกัมพูชาแทน
ภาคการเงินไม่มีปัญหา
“กฤษณ์ จันทโนทก” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ บอกว่า สถานการณ์ระหว่างไทยและกัมพูชาในปัจจุบัน ธนาคารได้มีการติดตาม และประสานงานร่วมกับสมาคมธนาคารไทยต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้ธนาคารยังไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานโดยตรง และสามารถให้บริการตามปกติ แต่เพื่อความไม่ประมาทได้เตรียมแผนความพร้อมไว้ใน 2 ด้านหลัก คือ 1.การดูแลพนักงานไทยในพื้นที่ และ 2.การบริหารสภาพคล่องกับธนาคารกลางกัมพูชาอย่างรอบคอบ ซึ่งหากสถานการณ์มีแนวโน้เปลี่ยนแปลงในทางลบ เรามีกรอบแผนรองรับ และจะดำเนินการตามหลักการกำกับดูแลอย่างรัดกุม เพื่อดูแลลูกค้าของธนาคาร
ปฏิเสธไม่ได้ว่า…ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากวิกฤติชายแดนไทย–กัมพูชา ที่ลุกลามสู่การเกิดสงครามทางเศรษฐกิจของ 2 ประเทศ เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ท้าทายรัฐบาลไม่น้อยทีเดียว.