แต่อีก 1วาระสำคัญ ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับ “ผู้นำ” ประเทศไม่น้อย ก็น่าจะเป็นคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ว่าจะมีคำสั่งอย่างไรเกี่ยวกับคำร้อง “ถอดถอนนายกฯ” ในวันที่ 1 ก.ค.นี้
หลังจากที่ “36 ส.ว.” ที่ได้ยื่นคำร้องกรณีคลิปเสียงการสนทนาระหว่างนายกฯแพทองธาร กับผู้นำกัมพูชา ที่มีเนื้อหาเกี่ยวพันกับการสั่งการระดับกองทัพ หรือ การใช้ตำแหน่งแทรกแซงกลไกความมั่นคง
กรณีอาจเข้าข่าย “ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง”!!
หากศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย ยังอาจมี “คำสั่งให้นายกรัฐมนตรี หยุดปฏิบัติหน้าที่” ตามคำขอของผู้ร้อง จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัยขั้นสุดท้ายในคดีนี้
อย่างที่บอก…กรณีนี้ถือเป็นกรณีที่สร้างแรงกระเพื่อมให้สถานการณ์การเมืองไทยอีกระลอก ที่สำคัญ!! ยังส่งแรงกระเพื่อมอีกระลอกไปที่เศรษฐกิจไทยเข้าให้อีก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง!! ความเชื่อมั่น…ที่ทุกวันนี้ก็แทบไม่มีให้เห็นอยู่แล้ว สะท้อนให้เห็นได้ชัดเจนจากตลาดหุ้นไทย ที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน รอวันหลุด 1,000 จุดอยู่รอมร่อ
ไม่เพียงเท่านี้…ยังมีอีกหลายเรื่องราว หลายนโยบาย ที่รัฐบาลที่เสียงกำลังปริ่มน้ำในเวลานี้ ก็ฟาดฟัน ต้องฝ่าฟันไปให้ได้
อย่างแรกที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าเป็น “ชนวนสำคัญ” ที่ทำให้รัฐบาลต้องแตกเป็นเสี่ยง อย่างร่างกฎหมายกาสิโน ที่แม้เวลานี้พรรคเพื่อไทยยอมถอยออกไปก่อน
แต่ก็อย่าลืมว่า “กาสิโน” ก็เป็นเป้าหมายใหญ่ของพรรคเพื่อไทย ที่ต้องเข็ญออกมาให้ได้ตามคำมั่นสัญญา ท่ามกลางผลประโยชน์ที่ต้องตอบแทน
ขณะที่การผลักดันให้ร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 69 ต้องคลอดออกมาให้ได้ ซึ่งตามวิถีการเมือง แล้ว เชื่อได้ว่า ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะสุดท้ายก็ต้องผลักดันออกมาจนได้
ส่วนเรื่องงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.15 แสนล้านบาท ที่ก่อนหน้านี้ ครม.อิ๊งค์ 1/1 ไฟเขียวออกมาแล้วเพื่อหวังผลกระตุ้นศก.ในช่วงครึ่งปีหลัง ที่ครม.อิ๊งค์ ½ ต้องไล่จี้ไล่บี้ ให้งบเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจให้ได้
หรือแม้แต่เรื่องของผลกระทบจากการใช้มาตรการภาษีตอบโต้ ของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ระยะเวลายืดหยุ่นกำลังจะหมดลงในวันที่ 9 ก.ค.นี้ แม้หัวหน้าทีมเจรจาจะคาดหวังไว้ว่าภาษีที่เรียกเก็บน่าจะอยู่ในระดับ 10% เหมือนประเทศอื่นก็ตาม
แต่ใครจะไปรู้? เพราะ… “ความแน่นอน” ของนโยบาย “ทรัมป์” ก็คือ… “ความไม่แน่นอน” ที่ทั่วโลกรวมถึงไทย ก็ต้องลุ้นกันทุกวันจนกว่า การเจรจาจะชัดเจนนั่นแหล่ะ…
เหนือสิ่งอื่นใดทั้งปวง ต้องยอมรับว่า เวลานี้ภาคเศรษฐกิจไทยอาการไม่ดี หลายสำนักวิจัยปรับลดการคาดการณ์เศรษฐกิจเหลือเติบโตได้ไม่ถึง 2%
ปัญหาใหญ่ก็คือการส่งออก ที่เชื่อว่าจะได้รับแรงกระแทกจากนโยบายภาษีตอบโต้ รวมถึงปัญหาเศรษฐกิจโลกที่กำลังซวนเซ จนส่งผลให้เศรษฐกิจของคู่ค้าไม่สดใส
ด้วยปัจจัยเหล่านี้ ส่งผลมาถึงการท่องเที่ยวไทย ที่คาดหวังจะให้เป็นเครื่องยนต์ใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่เมื่อเจอพายุใหญ่ เครื่องยนต์ใหม่ของไทยก็ซวนเซไม่น้อย
ความหวังที่จะให้การลงทุน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ทั้งจากงบกระตุ้นเศรษฐกิจ หรืองบประมาณรายจ่ายประจำปี 69
แต่ในเมื่อองคาพยพทั้งหมด!! ต้องขึ้นอยู่กับ “การเมือง” และถ้าการเมือง ขาดทรัพยากรในการขับเคลื่อนประเทศ นโยบายเรือธงที่หาเสียงกันเอาไว้ ก็ไปไม่ถึงฝั่ง
จึงไม่ใช่เรื่องแปลก!!ที่เวลานี้เสียงเรียกร้องของภาคเอกชน รวมไปถึงคนไทยทั้งประเทศ ต้องหันกลับมาดูแลตัวเอง ตามคำสุภาษิตที่ว่า “อัตตา หิ อัตฺตโน นาโถ”.
……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”