8. “แทน”ชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ เป็น รมช.สาธารณสุข 9.“ปลัดตุ๋ม”จตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ( ทส.) เป็น รองนายกฯ ควบ รมว.พาณิชย์ ( โควตากลุ่มสุชาติ ชมกลิ่น ) 10.รมว.กลาโหม ยังชิงดำกันระหว่าง พล.อ.ณัฐพงษ์ นาคพาณิชย์ และ “บิ๊กนัย”พล.อ.สุนัย ประภูชะเนย์ หรือไม่ก็ “นายกฯอิ๊งค์” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อาจนั่งควบกลาโหมไปเลย แต่ก็มีโอกาสเป็นไปได้น้อย ทั้งนี้ ยังไม่ทราบว่า ใครจะได้คุมกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นเรื่องน่าอนาถใจของการปรับ ครม.ทุกครั้ง กับการที่กระทรวงอันบ่มเพาะทรัพยากรของชาติ กลายเป็นกระทรวงที่นักการเมืองต่างกระโดดหนีกันหมด ไม่อยากมานั่งว่าการ ไม่ทราบเพราะอะไร
บ้างก็ว่า กระทรวงศึกษา“มาเฟีย”เยอะคุมยาก บ้างก็ว่า เป็นกระทรวงที่โครงสร้างซับซ้อน ..ซึ่งก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร ถ้ารัฐบาลไทยเขายังใช้วิธีแบ่งกระทรวงเป็นโควตาอยู่ มันก็ไม่มีทางได้คนเก่ง คนมีวิสัยทัศน์มาทำงาน ซึ่งน่าเศร้าที่รัฐมนตรีบางคนต้อง “ฝากตัวรับใช้นาย” หรือเป็นขี้ข้าม้าใช้ของนักการเมืองตัวใหญ่อีกที เพื่อทำ“ภารกิจเฉพาะ” ..เราก็เห็นชัดในสมัย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกฯ ที่มีความพยายามคืนพาสปอร์ตไทยให้ “อดีตนายกฯแม้ว”ทักษิณ ชินวัตร และมีความพยายามผ่านกฎหมายนิรโทษกรรม จนนำไปสู่การก่อตัวของกลุ่ม กปปส.( จนถึงวันนี้ยังจำชื่อเต็มไม่ได้ )
การเมืองเป็นเรื่องตัณหา คือความอยาก บางคนต้องการมีตำแหน่ง มีหน้ามีตา โดยอ้างว่า ทำเพื่อประชาชน แล้วทรยศอุดมการณ์ของตัวเอง ตั้งแต่ในช่วงรัฐบาลประยุทธ์จนถึงวันนี้ เราได้เห็นอะไรที่นึกไม่ถึงอยู่บ้าง อย่างเช่น การที่พรรคประชาธิปัตย์สามารถร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ ( พปชร.) ได้ ทั้งที่ประกาศไม่เอาเผด็จการ หรือไปร่วมมือกับพรรคเพื่อไทยตั้งรัฐบาลหน้าตาเฉยสมัยรัฐบาลแพทองธาร เราได้เห็นการแย่งเก้าอี้รัฐมนตรีแบบเว้าขอกันซื่อๆ ( หรือจะเรียกว่า ขอกันหน้าด้านๆ ก็ได้ ) เราได้เห็นพรรคร่วมรัฐบาลหักคอกันเอง ตั้งแต่แก้รัฐธรรมนูญ ทำประชามติ ไปจนถึงกฎหมายเอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ ปีนเกลียวกันแล้วยังต้องหน้าชื่นใส่กัน แล้วรอจังหวะแทง
มาวันนี้ รัฐบาลแตกคอกัน พรรคภูมิใจไทยถอนตัวทั้งพรรคเนื่องจากไปยึดกระทรวงใหญ่เขามา คือมหาดไทย ข่าวว่า “หมอมิ้ง”พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกฯ เป็นคนไปเจรจาขอจาก “เสี่ยหนู”อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยเองถึงกระทรวง แลกกับกระทรวงสาธารณสุข แต่เสี่ยหนูไม่ให้ ก็เลยต้องหักคอเอามา ทำให้ภูมิใจไทยถอนตัวทั้งพรรค เมื่อถามไถ่ไปมาถึงสาเหตุที่ต้องเอามหาดไทยมา บิ๊กอ้วน ภูมิธรรม บอกว่า
“ สิ่งที่เป็นปัญหาที่ผ่านมาของรัฐบาล คือ กระทรวงมหาดไทยซึ่งเป็นกระทรวงที่จะนำนโยบายรัฐบาลไปผลักดัน ยังทำไม่สมบูรณ์ ถือเป็นอุปสรรคต่อการทำงานมาก ครั้งนี้พรรคเพื่อไทยจะผลักดันนโยบายทั้งหมดไปสู่ประชาชนได้อย่างเต็มที่ ทั้งเศรษฐกิจฐานราก การปราบยาเสพติดอย่างเข้มข้น การจัดการเรื่องชายแดน นโยบายที่ค้างอยู่มันเดินไม่สุด เป็นเหตุที่ทำให้เราอยากได้กระทรวงนี้กลับคืนมา เพื่อให้นโยบายเดินหน้าได้ เชื่อมั่นว่า จะทำได้ดีกว่าเดิม ผลงานรัฐบาลน่าจะดีมาก เพราะที่ผ่านมามันขับเคลื่อนไม่ออก กลไกกระทรวงมหาดไทยเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันนโยบาย”
บิ๊กอ้วนยังมั่นใจด้วยว่า คดีที่ร้องๆ นายกฯอิ๊งค์ แพทองธาร ชินวัตรนั้นไม่มีปัญหา “นายกฯไม่มีปัญหาอะไร ก็ให้เขาฟ้องกันไป ไม่อยากให้ใช้คำว่านิติสงคราม เพราะเป็นเรื่องการฟ้องร้องตามกระบวนการ ซึ่งผู้รักษากระบวนการยุติธรรมต้องพิจารณาและตัดสิน เราก็รับทราบและชี้แจงสิ่งต่างๆ มั่นใจเสถียรภาพของรัฐบาล 100% ว่ารัฐบาลจะเดินหน้าอย่างแข็งแรง หลังจากปรับ ครม.ภายในสัปดาห์นี้ ทุกคนจะได้เห็นการทำงานในมิติใหม่ที่ต่างจากเดิม”
คำที่น่าสนใจคือ “การทำงานใหม่ในมิติที่ต่างจากเดิม” เป็นเรื่องที่ชวนคิด ชวนจินตนาการจริงๆว่า “รัฐบาลนี้จะมีอะไรใหม่ๆ ต่างจากมิติเดิม” บางคนบอกว่า แค่เรื่องขว้างทักษิณให้พ้นคอก็ไม่น่าจะทำสำเร็จ จะผลักดันนโยบายอะไรใหม่ๆ ที่พอจะรอดูได้ก็เรื่องซอฟต์พาวเวอร์ เรื่องการเป็นศูนย์กลางเงินดิจิทัล และที่หลายคนรออยู่ คือได้หัวเราะสมน้ำหน้าประเทศข้างบ้านบางประเทศ จะร้องไห้งอแงเพราะนโยบายปราบปรามคอลเซนเตอร์เข้มข้น ( มีคนยุมาด้วยว่า อะไรที่ประเทศนั้นเอาไปเคลมว่าเป็นของตัวเอง อย่างเสื้อผ้า อาหาร เทศกาล ไทยควรไปจดสิทธิบัตรทรัพย์สินทางปัญญาให้มันเลิกเคลมให้หมด ) ..เชื่อเถอะว่าปราบเขมรให้หายซ่าได้คือถูกใจคนไทยหลายคน
รัฐบาลจะทำงานมิติใหม่ ที่สำคัญคือ “นักการเมืองต้องมิติใหม่ด้วย” แต่เห็นก่อนทูลเกล้าฯ ครม. ยังฟัดกันแบบออกนอกหน้าอยู่เลย นั่นคือกรณี “หัวหน้าตุ๋ย”พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ( รทสช.) รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน ซึ่งในครั้งที่นายกฯ อิ๊งค์เจอวิบากคลิปเสียง ก็มีข่าวจากคนในพรรคนี้เองนี่แหละ ที่บอกว่า “มติพรรค ให้นายกฯ ลาออก” ขณะที่กลุ่มเสี่ยเฮ้ง 18 เสียงนั้น ยืนยันว่า สนับสนุนการทำงานของนายกฯอิ๊งค์ต่อ
กลายเป็นว่า การประชุมพรรคร่วมฯ ที่โรงแรมโรสวู้ด ปรากฏภาพหัวหน้าตุ๋ยไปยิ้มแฉ่งกับเขาด้วย และก็มีข่าวว่า ยังกอดเก้าอี้ รมว.พลังงาน “เลขาขิง”เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค รทสช.ก็ยังกอดเก้าอี้ รมว.อุตสาหกรรมอยู่ พอเสี่ยเฮ้งเห็นภาพนี้ก็อารมณ์ไม่ค่อยจะดี บอกว่า “ ต้องยอมรับว่ากลุ่ม 18 ยังสังกัด รทสช. รู้สึกไม่สบายใจในเรื่องการปฏิบัติตัวของนายพีระพันธุ์และทางมติพรรคที่ออกไปก่อนหน้านี้ ในการขอให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง อีกทั้งยังมีการเคลื่อนไหวของส.ส.จังหวัดชุมพร 3 ราย และส.ส.บัญชีรายชื่อ 2 รายที่ออกมากดดัน
ขณะที่กลุ่ม 18 นั้น ตั้งแต่วันแรกที่ทราบมติของพรรคก็ได้ออกแถลงการณ์ว่า สส.ทั้ง 18 คน ยังยืนยันที่จะสนับสนุนรัฐบาลอยู่ แต่หลังจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.ทำให้กลุ่ม 18 สงสัยพฤติกรรมหัวหน้าพรรค สุดท้ายแล้วเป็นคนเชื่อถือได้หรือเชื่อถือไม่ได้กันแน่ อยากให้ประชาชนไปตัดสินใจในประเด็นนี้เอง แต่ผมไม่สบายใจอย่างแน่นอน และในวันนี้กลุ่ม 18 จะมีนัดทานข้าวเพื่อหาทิศทางหลังจากนี้ เนื่องจากมีแนวทางที่แตกต่างจากหัวหน้าพรรค รทสช.มาตลอด”
“การจัด ครม.เป็นอำนาจของนายกฯ แต่ก็อาจจะมีเสียงสะท้อนออกมาจากในกลุ่มของผม ว่าในวันที่อีกฝั่งหนึ่งไม่ชัดเจนว่าจะร่วมรัฐบาลต่อหรือไม่ ก็เหมือนเด็กเกเร แต่กลุ่มของผมทำตัวเป็นเด็กดีเพราะต้องการให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อ รัฐบาลสามารถทำงานต่อไปได้ กลายเป็นว่า กลุ่มเด็กเกเรกลับไปกลับมาในคำพูดเป็นฝ่ายได้อมยิ้ม ได้รับการตอบแทน คนที่อยู่ในสถานะเด็กดีก็ต้องมีสถานะที่จะคิดในส่วนของตนเองได้ มติพรรคต่าง ๆ ที่จะทำอย่างไรต่อไปหลังจากที่แนวทางของพวกผมกับพรรคไม่สามารถไปด้วยกันได้แล้ว หากมีการออกมติอะไรออกมาก็จะใช้เอกสิทธิ์ของ สส. และไม่ใช่การขู่อย่างแน่นอนแต่เป็นสิทธิความชอบธรรมและความพึงพอใจรวมถึงการที่ประชาชนจะได้ประโยชน์อีกด้วย ถ้าเกิดมติพรรคมาบังคับพวกผมแต่ทางหัวหน้าพรรคไม่มีความชอบธรรมแล้ว ผมคงจะไปบอกให้ทุกคนในกลุ่มฟังก็คงไม่ได้”
คนไทยฟังแล้วได้แต่บอกไม่ถูก .. ที่สุดแล้วการเมืองก็วนๆ อยู่แค่เรื่องการแสวงหาอำนาจ ซึ่งเอาจริงมันก็รู้กันแหละ ว่า การเข้าถึงอำนาจและทรัพยากรได้มากกว่าคนอื่น คือเหตุที่คนมาเป็นนักการเมือง แต่การจัดตั้งรัฐบาลแพทองธาร 2 นี่ดูว้าวซ่าที่สุด ทั้งบังคับจกกระทรวงอ้างว่า ที่ผ่านมาทำงานไม่เข้าตา หรือแตกกลุ่มไปแล้วงอแงไม่พอใจว่า “ทำไมเราช่วยเธอแต่เธอดันไปช่วยคนที่ทำร้ายเธอ”
พวกดูการเมืองแบบ “รู้นะ แต่ดูห่างๆ” ก็ได้แต่หัวเราะ บอกให้นึกไปถึงสมัยม็อบ กปปส. ว่า “ปฏิรูปการเมืองไหมล่ะมึง” ปฏิรูปการเมืองซะพลิกหน้ามือเป็นหลังตีน อีพวกที่เคยไล่รัฐบาลชินวัตร บางคนวันนี้มาร่วมรัฐบาล พอถามว่าเธอลืมวันวานแล้วหรือไร ก็บอกว่า เราจะต้องก้าวผ่านความขัดแย้งเพื่อเดินหน้าบ้านเมือง บลาๆ ..ตอนเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญปี 60 ครั้งแรก แกนนำ กปปส. ก็ตั้งพรรค แต่พอกระแสไม่ดีก็กระโดดหนีกันใหญ่ ตกลงที่ฝันว่าจะปฏิรูปการเมืองก็เหลว เพราะนักการเมืองต้องการหาพรรคที่อยู่แล้วมีโอกาสได้เป็น สส.มากกว่า
มันวนๆ กันอยู่แค่เรื่องผลประโยชน์ ในขณะที่รัฐบาลก็เสียงปริ่ม แบบนี้พรรคไหนงอแงไม่ได้ดังใจ โดยเฉพาะ รทสช.ก็เอากฎหมายหรือวาระของรัฐบาลเป็นตัวประกันยกมือสนับสนุน และความที่ไม่รู้ว่า เอาจริงแล้วเสียงมีเท่าไร เนื่องจากคนในรัฐบาลก็ยังพยายามพูดว่าถึง 280 เพราะมีงูเห่า ( อาจต้องจ่ายกันกับการโหวตกฎหมายแต่ละฉบับ ไม่ใช่ให้เปิดตัวทิ้งพรรคเก่า ) แต่ในสถานการณ์การเมืองง่อนแง่นแบบนี้ ถ้าไม่คิดจะรับเงินแล้วจบอนาคตทางการเมืองเลย คงไม่มีใครเปิดตัวเป็นงูเห่า โดยเฉพาะ สส.พรรคประชาชน ( ปชน. ) เพราะแฟนคลับพรรคนี้เขาแรง ความคาดหวังกับ สส.เยอะ ..พอซื้องูเห่า การเมืองก็น้ำเน่าอีกล่ะ
“อาจารย์ป๊อก”ปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า สรุปภาพของรัฐบาลไว้ ซึ่งน่าจะเป็นจริง คือ “การลากรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำไปต่อ จะเห็นอะไรต่อจากนี้ 1. การเอาอกเอาใจกองทัพ การให้กองทัพมีอำนาจเหนือรัฐบาล มากยิ่งขึ้น 2. การเอาอกเอาใจพรรคร่วมรัฐบาลอื่น ผ่าน 8 เก้าอี้ รัฐมนตรีที่ว่างอยู่ 3. การแย่ง ต่อรอง ตำแหน่ง ของนักการเมือง การดึง การดูด เอาเก้าอี้ รมต. ผลประโยชน์มาหลอกล่อ สส. ของพรรคอื่นๆ ให้แตกแถว เพื่อรักษาเสถียรภาพรัฐบาล 4. นิติสงคราม เพื่อจัดการนายกรัฐมนตรี 5. พรรคการเมืองและรัฐบาล แสดงออกแบบขวาจัดมากยิ่งขึ้น เพื่อรักษาใบอนุญาตที่ 2 สภาพการเมืองและรัฐบาลแบบนี้ ไม่มีทางแก้ไขปัญหาประเทศชาติ นำพาประเทศชาติไปได้ ไม่มีทางสร้างความเชื่อมั่นและความหวังให้กับประชาชนได้”
แต่ก็…นะ ถ้ารัฐบาลเขาบอกว่า หลังปรับ ครม.จะได้เห็นมิติใหม่ เราก็อยู่ในภาวะจำยอมต้องให้โอกาส ประท้วงไปก็ลองคิดถึงบทเรียน กปปส.แล้วกันว่า ที่อ้างปฏิรูปการเมืองก่อนเลือกตั้ง ได้อะไรมา.
………………………………………………………
คอลัมน์ : ที่เห็นและเป็นอยู่
โดย “บุหงาตันหยง”