เนื้อความข้างต้นเป็น เสียงจากผู้เชี่ยวชาญภัยพิบัติ จากเวทีเสวนาวิชาการ “การเตรียมการป้องกันเพื่อลดผลกระทบจากภาวะวิกฤติภัยพิบัติในบริบทสหสาขา” ซึ่งชี้ย้ำว่าไทยจำเป็นต้องมี “แผนรับมือภัยพิบัติที่ชัดเจน” โดยเฉพาะในยุคนี้ที่ โลกกำลังเผชิญความท้าทายจาก “ภัยพิบัติยุคใหม่”ที่ทั้งไม่แน่นอน และ “ยิ่งมีความรุนแรงที่ซับซ้อนมากขึ้น”กว่าเดิม…
ไม่ว่าจะน้ำท่วม แผ่นดินไหว ภัยอื่น ๆ
ทั้งนี้ เสียงสะท้อนข้างต้นมาจากเวทีเสวนาย่อยซึ่งจัดขึ้นใน การประชุมวิชาการระดับชาติและนานาชาติด้านการจัดการความเสี่ยงและภัยพิบัติ ครั้งที่ 3 โดยเครือข่ายพัฒนาความเข้มแข็งต่อภัยพิบัติไทย (TNDR) และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการเตรียมพร้อมเมื่อเกิดภัยพิบัติแต่ละประเภท โดยผู้เชี่ยวชาญด้านภัยพิบัติที่ร่วมเวทีเสวนาได้มีการสะท้อนหลาย ๆ ประเด็นไว้น่าคิด รวมถึงบางท่านยังมีข้อเสนอแนะสำหรับไทยในเรื่องนี้ด้วย

เริ่มจาก“การเฝ้าระวัง–การพึ่งพาตนเอง”ซึ่ง ดร.สุทัศน์ วีสกุล ที่ปรึกษาสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) ระบุว่า… “การเตือนภัยล่วงหน้า 48 ชั่วโมง” คือ “คีย์เวิร์ดช่วยลดความเสียหายจากภัยพิบัติ” ซึ่งถ้าไทยมีระบบเตือนภัยที่แม่นยำ ทันเวลา และมีประสิทธิภาพ จะช่วยลดความเสียหายลงได้ถึง 80% อีกทั้งการมีระบบเตือนภัยพิบัติล่วงหน้าที่ดี และการมีเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อให้ข้อมูลต่าง ๆ จะช่วยทำให้ชุมชนเข้าใจตัวเอง และเตรียมตัวได้ถูกต้องตรงกับสถานการณ์
ด้าน ดร.ฐิติวัฒน์ ว่องวรรณกุล มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย เสริมว่า… “การเฝ้าระวังการเกิดภัยพิบัติ” จะ “ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือได้ถึง 7 เท่า” ดังนั้นนอกเหนือจากภารกิจช่วยเหลือและบรรเทาทุกข์แล้ว การเฝ้าระวังจึงเป็นอีกภารกิจที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยมูลนิธิฯ นำเทคโนโลยีระบบสารสนเทศมาใช้เฝ้าระวังและเตือนภัย เพื่อให้ชุมชนซึ่งเป็นด่านแรกที่ต้องเผชิญกับภัยพิบัติต่าง ๆ ได้มีองค์ความรู้และข้อมูลที่จำเป็นสำหรับใช้เตรียมตัวรับมือล่วงหน้า ทำให้ชุมชนสามารถดูแลตัวเองได้เมื่อเกิดภัยพิบัติ …นี่เป็นตัวอย่างที่น่าใช้เป็น “กรณีศึกษารับมือภัยพิบัติ”
ขณะที่ น.อ.นพ.พิสิทธิ์ เจริญยิ่ง สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ได้ให้ความรู้ “การเตรียมพร้อมเพื่อลดผลกระทบจากภัยพิบัติ” ว่า “ต้องเริ่มต้นจากพึ่งพาตนเองได้” ในระหว่างที่รอความช่วยเหลือ โดยตระหนักว่าตนอยู่ในภาวะเสี่ยงอย่างไร หรือต้องประเมินได้ว่าใครในครอบครัวต้องได้รับการช่วยเหลือฉุกเฉิน รวมถึงรู้วิธีช่วยชีวิตเบื้องต้น เช่น การทำซีพีอาร์ และ “สิ่งที่ทุกบ้านควรมีคือกระเป๋าฉุกเฉิน” ที่ภายในนั้นมีเอกสารสำคัญต่าง ๆ รวมถึงข้าวของและยาที่จำเป็น ให้พร้อมหยิบออกไปได้เลยในเวลาฉุกเฉิน ที่สำคัญควรมีสิ่งของที่ทำให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ 72 ชั่วโมง ก่อนที่ความช่วยเหลือจะมาถึง

นอกจากนั้น เวทีเสวนาดังกล่าวยังมีมุมสะท้อนน่าสนใจในเชิง “นโยบายและระบบ”ที่เป็นอีก “ความท้าทายสำคัญ” ในการ “รับมือกับภัยพิบัติ” โดยเรื่องนี้ ผศ.ดร.ธิดา ไชยปะ นักวิชาการจากสถาบันนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ระบุว่า… การที่ไทยมีการปกครองแบบรัฐเดียว แต่มีการแบ่งอำนาจและการกระจายอำนาจ ทำให้มีการปกครอง 3 รูปแบบ คือ 1.รวมอำนาจสู่ส่วนกลาง 2.แบ่งอำนาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัด 3.กระจายอำนาจให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งก่อให้เกิด “ความซับซ้อนเชิงโครงสร้างและระบบ” ที่เป็น “ปัจจัยลดทอนความสามารถในการรับมือเหตุฉุกเฉิน” ลงพอสมควร
ประเด็นต่อมา “ข้อจำกัดทางกฎหมายที่เน้นรับมือมากกว่าป้องกัน”โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ทำให้เกิดระเบียบเกี่ยวกับการเบิกจ่ายงบประมาณที่อนุญาตให้เบิกได้ก็ต่อเมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้นแล้วเท่านั้น และนอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องของ ปัญหาเชิงโครงสร้างอื่น ๆ เช่น ระบบการวางผังเมือง การใช้ประโยชน์ที่ดิน ระบบเตือนภัยล่วงหน้า ในขณะที่ “ปัญหาจากมายด์เซ็ต” ก็เป็นสาเหตุเชิงลึกอีกประการหนึ่งเช่นกัน ที่ ส่งผลให้เกิดปัญหาในการจัดการภัยพิบัติ ตัวอย่างเช่น ความคิดที่ว่าการช่วยเหลือเป็นหน้าที่ของภาครัฐเพียงผู้เดียว และประชาชนคือผู้รับความช่วยเหลือ ทำให้ขาดการเตรียมความพร้อมด้วยตนเอง หรืออีกปัญหาที่พบบ่อย คือ ผู้สูงอายุไม่ยอมย้ายออกจากบ้านเมื่อเกิดน้ำท่วม เป็นต้น
“ปัจจัยเหล่านี้ท้าทายการปฏิบัติการ และลดทอนความสำคัญการเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติของคนไทย”…ผศ.ดร.ธิดา ระบุถึงอุปสรรคเรื่องนี้ ที่ทำให้เกิดการมองข้ามผลพวงเศรษฐกิจ ที่เกิดจากไม่มีแผนรับมือภัยพิบัติที่ชัดเจน
และกับประเด็น “ความเสียหายทางเศรษฐกิจจากภัยพิบัติ” นั้น รศ.ดร.ฐิติวดี ชัยวัฒน์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ สะท้อนว่า… ภัยพิบัติแต่ละครั้งสร้างมูลค่าความเสียหายสูง ซึ่งดูทั่วโลกความเสียหายราว 328,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเกิดจากภัยพิบัติธรรมชาติ โดยสำหรับไทยย้อนไปปี 2554 กับอุทกภัยครั้งใหญ่ เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจกว่า 80,000 ล้านบาท ทำให้เมื่อเกิดภัยพิบัติจึงมีคำถามว่า… ประชาชนต้องรับผิดชอบเอง? หรือรัฐต้องช่วยเหลือ? ซึ่งคนที่มีความรู้ความเข้าใจในเครื่องมือช่วยเหลือ เช่น ประกันภัย ก็เลือกช่วยตนเองโดยทำประกัน แต่ ยังมีคนจำนวนมากที่ขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องนี้ จนต้องรอความช่วยเหลือจากรัฐอย่างเดียว เมื่อเกิดภัยพิบัติ …นี่เป็นมุมมองเชิงเศรษฐศาสตร์
เหล่านี้ล้วนเป็น “เสียงสะท้อนที่น่าคิด”
น่าคิด “สำหรับการรับมือกับภัยพิบัติ”
รับมือ “ทั้งโดยรัฐและโดยประชาชน”.
ทีมสกู๊ปเดลินิวส์