ก็อธิบายไปแค่ว่า ก็ต้องอาศัยตัวแปรอะไรที่เข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจได้แบบก้าวกระโดด ตอนนี้ปัญหาของประเทศไทยหนักมากในเรื่องของการมีรายรับน้อยลง สามขาหลักเศรษฐกิจคือ การท่องเที่ยว การส่งออก การใช้จ่ายในประเทศ ลดลงหมด อย่างการท่องเที่ยวนี่ การฟรีวีซ่าตอนนี้ถูกวิจารณ์แล้วว่า “ได้แต่นักท่องเที่ยวไร้คุณภาพ” ข่าวนักท่องเที่ยวประเภทนี้ตีกับสาวบาร์แถวพัทยาหรือภูเก็ตมีให้เห็นบ่อยๆ และพวกนี้มาอยู่อารมณ์แบคแพคเกอร์ จ่ายให้น้อยที่สุด หรือบางทีรวมหัวกันเอาเปรียบ ฉ้อโกง ขโมยของซะด้วยซ้ำ

เมื่อก่อนคนไทยไม่ค่อยชอบคนจีน เพราะโฉ่งฉ่างเสียงดัง ประกอบกับพฤติกรรมการใช้ห้องน้ำก็เรื่อง แต่ตอนนี้ รัฐบาลแทบจะกวักมือเรียกคนจีนมาเที่ยวให้เยอะๆ มีโครงการสวัสดีหนีห่าว แต่ก็ยังดึงคนจีนมาไม่ได้ อย่างที่บอกคือ ตราบใดที่ยังแก้ปัญหาคอลเซนเตอร์ไม่ได้ คนจีนก็ผวาไม่กล้ามาเที่ยว คอลเซนเตอร์นี่ก็มาจากทั้งฝั่งพม่าฝั่งเขมร กลายเป็นตัวทำลายเศรษฐกิจไทยอีกทาง เพราะดูดเงินสดออกจากระบบ บางรายโดนหลอกเป็นหลักล้าน เงินเก็บหมดสิ้นเนื้อประดาตัว เรื่องนี้ทำอะไรไม่ได้นอกจากตัดน้ำ ตัดไฟ บีบให้ประเทศที่มีคอลเซนเตอร์ต้องช่วยจัดการด้วย หรือให้จีนเข้ามาช่วยกดดันจัดการอีกประเทศหนึ่งเพราะมันส่งผลต่อพลเมืองเขา อย่างกรณีที่ดาราจีนโดนคอลเซนเตอร์จับเรียกค่าไถ่

ประกอบกับในจีนเอง ก็เกิดภาวะฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์แตก ลงทุนไปเยอะ ขายไม่หมด หลายเจ้าเข้าสู่ภาวะขาดทุน ทำให้คนจีนจำนวนหนึ่งก็ต้องรัดเข็มขัดการท่องเที่ยว ส่วนคนจีนที่เห็นรวยๆ ในไทยนั้น เป็นประเภทจีนเทาหรือจีนเข้ามาเอาเปรียบคนไทยก็พอสมควร เช่น ทำทีเป็นเช่า หรือซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทย ให้ได้ในสัดส่วนที่ต่างชาติถือครองได้ คือ 49% แล้วก็จ้างนอมินีถือหุ้นเพิ่มอีก ก็เก็บรายได้เป็นกอบเป็นกำ เรื่องทุจริตคดโกงแบบนี้ทำในจีนไม่ได้ประเทศเขากฎหมายแรง ไปทำบ้าๆ บอๆ ไม่ดูตาม้าตาเรือเข้าเสี่ยงโดนยิงเป้า ..นอกจากนี้ มีข่าวว่า หลังๆ ให้สังเกตดูสถานบันเทิง โดยเฉพาะพวกร้านคาราโอเกะ ก็มีจีนมาลงทุน อาจมีเอาคนไทยเป็นพนักงานด้วย

 ถ้าเป็นจีนเทา จีนดำ อาจเป็นธุรกิจที่ซับซ้อนขึ้น ผลประโยชน์มากขึ้น คนจีนแทรกซึมเข้ามาทำกิจการในไทยจนสุดท้ายจะแย่งงานคนไทย คนไทยแท้ๆ กลับมาเป็นลูกจ้างบนแผ่นดินตัวเอง ที่มีคนบางจำพวกเล่นแร่แปรธาตุขายต่างชาติ

นอกจากท่องเที่ยว ขาส่งออกก็กำลังตุ้มๆ ต่อมๆ ว่า หลายประเทศจะนำเข้าสินค้าไทยลดลง ท่ามกลางสนามแข่งขันทางการค้าหรือไม่ ที่ตุ้มๆต่อมๆ และต้องรู้ผลในเดือนกรกฎาคมนี้ คือการที่ทีมไทยแลนด์ จะต้องไปเจรจาการค้ากับสหรัฐอเมริกา เพื่อให้ลดกำแพงภาษีสินค้าไทยที่ส่งออกไปอเมริกา ไม่เช่นนั้นผู้ส่งออก..ยับ ต้นทุนก็เท่านี้ เจอภาษีจากเดิมไม่รู้อีกกี่เท่า ซึ่งเรื่องเจรจาทางการค้าตรงนี้ เหมือนจะมีหลายคนไม่ค่อยไว้ใจรัฐบาล เพราะเห็นยึกยักๆ หลายเรื่อง ไม่ทำให้เกิดความมั่นใจได้เท่าไร ก่อนหน้านี้ก็เรื่องเส้นแบ่งเขตทางทะเล MOU44 ที่ว่า มีผลประโยชน์เรื่องก๊าซธรรมชาติมหาศาลในอ่าวไทย ต้องเร่งเจรจาปักปันเขตเพื่อเอาเชื้อเพลิงฟอสซิลมารีบใช้ แต่ก็ต๊ะตอนยอนอยู่ไม่รู้แล้ว

ขาการบริโภคภายในประเทศก็ไม่กระเตื้อง ร้านค้าหลายร้านบ่นขาดทุน คนไม่จับจ่ายซื้อของมากเหมือนเก่า เพราะตอนนี้ความที่รัฐบาลไม่ค่อยมีเสถียรภาพ รัดเข็มขัดไว้ก่อนก็ดี ไอ้เงินหมื่นที่แจกกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็ดูจะกลายเป็นเบี้ยหัวแตกซะเยอะ ไม่มีการประเมินผลความคุ้มค่าของโครงการให้เห็นเท่าไรนัก ช่วงแจกเฟสแรกๆ มีข่าวบางคนเอาไปซื้อยาบ้าซะอย่างนั้น ทีนี้ เมื่อรัฐทุ่มไปกับโครงการประชานิยม ต่อมา งบกระตุ้นเศรษฐกิจก็ไม่พอ ต้องดึงงบกลับจากโครงการแจกหมื่นมาเป็นงบกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ซึ่งหลายคนจับจ้องอยู่ ว่า “โครงการที่ ครม.อนุมัติไป เป็นโครงการที่กระตุ้นเศรษฐกิจได้จริงหรือไม่ ?” คือเขาก็อยากเห็นโครงการที่มันมีดอกมีผล

แต่ก็มีฝ่ายค้านมาดักคอว่า อย่าเทไปที่โครงการขุดบ่อ ทำถนนอีกล่ะ…ซึ่งโครงการลักษณะนี้เขาว่าโกงกันง่าย เขียนสเปคเกินจริง ฮั้วกับผู้รับเหมา ไปสักพักผู้รับเหมาทิ้งงาน อะไรทำนองเนี้ย ซึ่งเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่นนี่ ตราบใดยังไม่มี “สมุดพกผู้รับเหมา” ให้หักคะแนนพวกทิ้งงาน หรือก่ออุบัติเหตุ พอถึงจุดนึงไม่ต้องรับงานรัฐ และผู้รับเหมาคนไหนไปจ้างช่วงต่อบริษัทพวกนี้ก็ต้องโดนหักคะแนนไปตามๆ กัน …มีผู้เสนอความเห็นว่า ถ้าอยากกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ก็ปล่อยสินเชื่อรายย่อยให้เอาไปทำมาหากินกันให้ง่ายๆ หน่อย ไม่ใช่ให้เขาต้องไปพึ่งหนี้นอกระบบ

คนที่ถามเมื่อไรเศรษฐกิจจะดี ยกมือส่งสัญญาณให้หยุดก่อน ว่า ฟังแค่นี้ก็จะอ้วก เหมือนประเทศไม่ค่อยมีอนาคตเลย ถ้าอย่างนั้นตอนนี้รัฐบาลโฟกัสเรื่องอะไร ? เมื่อพิจารณาดูเรื่องสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ที่การสื่อสารไม่เป็นเอกภาพเอาเสียเลย นายกฯ พูดอย่าง ทหารพูดอย่าง พรรคร่วมรัฐบาลพูดอย่าง เช่นกรณี “นายกฯอิ๊งค์”แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ดันเห็นไม่เหมือนกับ “เสี่ยหนู”อนุทิน ชาญวีรกูล เกี่ยวกับเวลาเปิดด่าน ก็ทำให้คิดว่า “รัฐบาลคงไม่น่าจะทำกันจริงจังเท่าไร เป็นเรื่องหน้างานไป” ถ้าตั้งใจกับเรื่องสถานการณ์ไทยเขมร ก็ควรตั้งศูนย์บัญชาการที่ไม่ให้การข่าวสะเปะสะปะแบบนี้

สิ่งที่ดูจะเป็นข่าวอย่างมาก ดึงเช็งกันสนุกสนานจนเครียดแล้ว คือการปรับ ครม. อิ๊งค์2 ดูจะสนุกกันอยู่สามพรรค อันดับแรก พรรครวมไทยสร้างชาติ ( รทสช.) ที่วันนี้คงบอกว่า แตกไปแล้ว เพราะกลุ่ม“เสี่ยเฮ้ง”สุชาติ ชมกลิ่น รองหัวหน้าพรรค แตกออกมาเป็นกลุ่ม 18 หรือมี สส.18 คน และเหมือนจะเปิดหน้ากันกลายๆ แล้วว่า ใครกลุ่มไหน ..ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวกลายๆ ว่า สส.รทสช.หลายๆ คนไม่พอใจ “หัวหน้าตุ๋ย”พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน หัวหน้าพรรค เพราะเอาแต่พวกตัวเอง และเป็นคนเข้าถึงยาก ไม่ค่อยฟังใคร ทำให้ สส.หลายคนในพรรคไม่ค่อยจะมีบทบาทมาก เสี่ยเฮ้งบอกว่าเตรียม“บ้านใหม่” ไว้แล้ว นั่นคือพรรคโอกาสใหม่

แต่อย่างไรก็ตาม “เลขาขิง”เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรคและ รมว.อุตสาหกรรมก็บอกว่า “คงอยู่กันไปอย่างนี้” คือรอไปแตกตอนจะเลือกตั้ง เพราะขั้วของเสี่ยเฮ้งกับหัวหน้าตุ๋ยก็ขั้วรัฐบาลเหมือนกัน แต่กระแสข่าวบอกให้หัวหน้าตุ๋ยต้องระวังเก้าอี้ รมว.พลังงานไว้ให้ดี เพราะ “มีบางคนอยากได้ เพื่อเอาคนของตัวเองมาทำงาน”

พรรคที่สองคือภูมิใจไทย ความที่เป็นพรรคเสียงอันดับสองในพรรคร่วมรัฐบาล สส.มี 70 คน ทำให้มีอำนาจในการต่อรองขอกระทรวง เสี่ยหนูเลยได้เป็น มท.1 หรือ รมว.มหาดไทย ก็ทำงานไปเรื่อย จนอยู่มาวันนึง ก็มีกระแสข่าวมาตั้งแต่น่าจะปลายเดือน มิ.ย. ว่า จะปรับ ครม. และหนึ่งในนั้นคือ เก้าอี้ว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่พรรคเพื่อไทยต้องการมาดูแลเอง ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตามเขาไม่แจ้ง แต่เชื่อกันว่า เป็นการทำฐานการเมืองท้องถิ่นเพื่อผลการเลือกตั้งในสมัยหน้า กระทั่งมีการวางตัว มท.1 คนใหม่ไว้แล้ว คือ “เสี่ยไก่”ประเสริฐ จันทรรวงทอง ผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทย

ทางภูมิใจไทยก็ไม่ให้ บอกว่า “มันเป็นข้อตกลงตอนตั้งพรรคร่วมรัฐบาล” คนไทยตบเข่าฉาด ป้าดดดด…รัฐมนตรีประเทศนี้เขาตั้งกันตามโควตา แบบว่าสมบัติผลัดกันชม หัวไปดูๆ รัฐมนตรีมีคนไหนมีตรงสายงานบ้าง คิดว่าทุกคนมีคำตอบ ไอ้ที่ปรับกันบ่อยๆ เพราะถึงคิวคนนั้นคนนี้ขึ้นเป็นรัฐมนตรี รู้สึกว่า อย่างของประชาธิปัตย์นี่เขาจะค่อนข้างชัดว่า “คิวการขึ้นเป็นรัฐมนตรี” ต้องเป็น สส.มากี่สมัย หรือมีคุณสมบัติอย่างไร แต่พรรคอื่นนี่ไม่รู้

ทุกวันนี้ ข่าวการเมืองวนอยู่กับการเล่นลิ้นเรื่องการปรับ ครม. ปรับเก้าอี้ รมว.มหาดไทย เอาแค่วันที่ 17 มิ.ย. มีข่าวว่านายกฯอิ๊งค์พร้อมประเคนให้สองกระทรวง คือ พาณิชย์ และสาธารณสุข ขอให้คายมหาดไทยคืนให้เพื่อไทย ฝ่ายเสี่ยหนูเขาชัดแล้วว่า เขาไม่ให้ แต่ฝั่งนายกฯ ก็ยังกั๊กๆ อยู่ไม่รู้รอสัญญาณจากใคร นักข่าวถามเรื่องมีเงื่อนไขให้ใครครองเก้าอี้รัฐมนตรียาวหรือไม่ นายกฯตอบ “เงื่อนไขนี้ไม่ได้มีนะคะ ไม่มีเงื่อนไขนี้ ตอนตั้งรัฐบาลพูดคุยแต่เรื่องกระทรวงเฉยๆ“ 

 ขณะที่เสี่ยหนูชัดเจนว่า เอาอะไรมาแลกก็ไม่ให้ แถมยังสงสัย “ไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว นายกฯต้องการกระทรวงมหาดไทยหรือใครต้องการ แต่มันก็ต้องมีความต้องการอะไรเกิดขึ้นแน่นอน ไม่อย่างนั้นทำไมถึงมาลงที่กระทรวงมหาดไทย กระทรวงนี้มันอะไรสำคัญอะไรกันนัก ถ้าจะแลกเปลี่ยนเก้าอี้มหาดไทย ก็ต้องรื้อใหม่หมด ทุบใหม่หมด คุยกันใหม่  ไม่แยกคุย แต่เป็นการคุยกันเลยว่าพรรคร่วมรัฐบาลชุดนี้เอาอย่างไร อันนั้นเราก็มีเหตุมีผล ผมก็ไม่ได้เป็นคนดื้ออะไร  คุยกับนายกฯก็ต้องมีเหตุมีผลอยู่แล้ว”

ความหมายของเสี่ยหนู คือ “จะปรับ ครม.ไม่ใช่เพื่อไทยจะมาคุยต่อรองกับภูมิใจไทยพรรคเดียว พรรคอื่นไม่แตะโควตาของเขา ถ้าจะให้ยอมรับ คือโยนเก้าอี้ทุกกระทรวงเข้าส่วนกลาง แล้วจัดแจงแบ่งเค้กกันใหม่ให้หมด ซึ่งตรงนี้คิดว่า ทางนายกฯอิ๊งค์ก็คงไม่เอา หลายพรรคก็ไม่เอา เพราะบางคนว่าอยู่กระทรวงเดิมดีอยู่แล้ว อีกทั้งหากต้องแบ่งใหม่ ไม่รู้จะยาวนานเป็นเดือนเหมือนตอนตั้งรัฐบาลแพทองธาร 1 หรือไม่ ที่ตรวจสอบคุณสมบัติคนมาเป็นรัฐมนตรีกันเป็นเดือนกว่าจะตั้งได้ แต่นี่คือจัดโควตาให้แต่ละพรรคใหม่ คงวิ่งกันฝุ่นตลบ

ทำไมคนเราสนใจการปรับ ครม. ? มันเป็นสีสันหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องสมบัติผลัดกันชมทางการเมือง อยากรู้ว่า การให้เก้าอี้นี้กับใครมีเบื้องหลังหรือมีเหตุผลอะไร อยากวิจารณ์ อย่างบางคนสามารถเป็นรัฐมนตรีได้ทุกรัฐบาล สองคนนี้มีของดีอะไร กระแสข่าวมันก็แสดงให้เห็นถึงภาพการวิ่งเต้นต่อรอง เพียงแต่มาวิ่งเต้นต่อรองกันตอนที่เศรษฐกิจก็ไม่ดี ชายแดนก็ปัญหารอบทิศ ทั้งเขมร พม่า มาเลเซีย โดยเฉพาะเขมร ฮึ่มฮั่มจะทำสงครามให้ได้ ..ต้องถามว่า “มันใช่เวลามาปรับ ครม.กันตอนนี้หรือไม่ ?” ข่าวการปรับ ครม. ที่จะไล่พรรคโน้นพรรคนี้ออก มันแสดงให้เห็นถึงความไม่มีเสถียรภาพของรัฐบาล และส่งผลต่อการค้าการลงทุนไปอีก หลายเรื่องรัฐบาลก็ทำช้าอยู่แล้ว พอปรับ ครม.มันยิ่งถ่วงให้ช้าหรือไม่

ซึ่งคำถามที่ตอบไม่ได้จริงๆ คือ “การปรับตามรอบ มันเป็นความจำเป็นแน่หรือ ?” การยึดโควตาพรรคการเมือง สลับคนเป็นรัฐมนตรี สำคัญกว่าภาพรวมการทำงาน ?  ถึงแม้จะพูดว่า “การเมืองไทยก็เป็นแบบนี้” แต่มันจะดีขึ้นไม่ได้หรืออย่างไร ในการที่ไม่ต้องมาต่อรองเก้าอี้กันให้เป็นที่ขบขันระหว่างประเทศมีปัญหารอบด้าน.

………………………………………………………
คอลัมน์ : ที่เห็นและเป็นอยู่
โดย “บุหงาตันหยง”

คลิกอ่านบทความทั้งหมดได้ที่นี่