ปฏิเสธไม่ได้ว่า…หากปัญหาความไม่ลงรอยยังยืดเยื้อต่อไป ย่อมมีผลกระทบต่อการค้าการขายชายแดน การดำเนินธุรกิจของทั้ง 2 ประเทศ จนส่งผลมาถึงภาพรวมเศรษฐกิจ

แม้จนถึงเวลานี้ความเสียหายที่ชัดเจนยังไม่สามารถประเมินกันแบบชัด ๆ ได้ แต่ถ้ามีการปิดด่านแบบ 100% ก็อาจได้เห็นความเสียหายของมูลค่าทางเศรษฐกิจหลักเดือนละ 10,000 ล้านบาท

ล่าสุดในปี 67 ไทยส่งออกสินค้าไปกัมพูชา ประมาณ 1.4 แสนล้านบาท โดยนำเข้าสินค้าจากกัมพูชาประมาณ 30,000 ล้านบาท ขณะที่ด่านสำคัญที่สุด คือ ด่านอรัญประเทศ และด่านบริเวณสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา จ.สระแก้ว

อย่างที่บอกปัญหาความไม่ลงรอยนี้ หากปล่อยให้เนิ่นนาน นอกจากชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในเขตพรมแดนที่ติดต่อกันทั้ง 2 ประเทศ ก็อาจกระทบชิ่งมายังภาพรวมเศรษฐกิจได้

นอกจากวังวนเดิม ๆ ที่ว่าแล้ว ยังมีวังวนเดิม ๆ ในเรื่องของการเมือง ที่สุดท้ายแล้ว…อาจจูบปากกันอย่างดื่มด่ำ เพราะสามารถบริหารประโยชน์ได้ลงตัว

แต่ระหว่างทาง!!นี่สิ ยิ่งเป็นการซ้ำเติมปัญหาให้กับประเทศ ให้กับระบบเศรษฐกิจ เพราะ “ความเชื่อมั่น” ที่เดิมที…ก็ไม่มีอยู่แล้ว ยิ่งหดหายมากขึ้นไปอีก

แถมยังถูกซ้ำเติมเข้ากับปัญหาในต่างประเทศ โดยเฉพาะสงครามระหว่าง อิหร่านกับอิสราเอล ที่กำลังเปิดฉากโจมตีกันอย่างหนัก ส่งผลกระทบหนักโดยเฉพาะในเรื่องของราคาพลังงาน

ขณะที่การผ่อนปรนเรื่องภาษีตอบโต้ของ”ทรัมป์” ก็กำลังจะหมดเวลาที่ผ่อนปรนในอีกไม่ถึง 30 วันข้างหน้า การจัดการปัญหาก็ยังไม่รู้ผล มีเพียงแค่…สหรัฐตอบรับการเจรจา ก็เท่านั้น

จึงไม่ต้องแปลกใจที่บรรดาภาคเอกชน ต่างออกมาแสดงความกังวลกับสารพัดสารพันปัญหาที่กำลังถาโถมเข้ามาในเวลานี้ พร้อมเรียกร้องให้ผู้นำประเทศเร่งโชว์ฝีมือแก้ปัญหาเหล่านี้ให้ผ่านพ้นโดยเร็ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเบิกจ่ายงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.58 แสนล้านบาท ที่รัฐบาลสู้อุตสาห์ยอมกลืนน้ำลายตัดใจเปลี่ยนแปลงจากการ”แจกเงิน” มาเป็นกระตุ้นการลงทุนเพื่อให้เกิดโมเมนตั้มในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

แต่จนแล้วจนรอด จนใกล้จะหมดไตรมาสสองของปีปฎิทินแล้ว ทั้งโครงการ ทั้งเม็ดเงิน ก็ยังไม่ไหลออกสู่ระบบเศรษฐกิจ เพราะแต่ละหน่วยงานต่างแห่ของบกันเข้ามาแบบว่ารัฐบาลเป็น “ธนาคาร”

อย่างไรอย่างนั้น งบประมาณตั้งต้นมีเพียงแค่ 1.58 แสนล้านบาท แต่ทุกหน่วยงานแห่ขอเข้ามากว่า 4.4 แสนล้านบาท ขนาดให้กลับไปทบทวนแล้ว ก็ยังเสนอกันเข้ามาเหมือนเดิม

หรือจะเป็นเรื่องของงบประมาณในปี 69 ที่แม้เวลานี้อยู่ในขั้นของกรรมาธิการ ที่ต้องไปจำกัดจำเขี่ย เพื่อให้ได้งบประมาณเท่าที่จำเป็นออกมาก่อนก็ตาม

แต่เมื่อถึงกำหนดเวลา การกระตุ้นให้เกิดการเบิกจ่ายเพื่อให้มีเงินไหลออกมาสมทบกับงบกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็ต้องเกิดขึ้นให้ได้อย่างต่อเนื่อง

เพราะเพียงแค่การหวังกำลังของภาคเอกชนให้เข้ามาลงทุน คงเป็นไปได้น้อยมาก ท่ามกลางความเชื่อมั่นที่หดหายเช่นนี้ เครื่องยนต์หลักอย่างการลงทุนภาครัฐต้องใส่น้ำมันให้เครื่องติดโดยเร็วที่สุด

การจะหวังให้ภาคการท่องเที่ยวเข้ามาช่วยเสริมทัพเหมือนที่ผ่านมาอีก ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะนักท่องเที่ยวหลักอย่างจีน ได้หดหายไปเกือบครึ่งแล้ว ด้วยผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก

อย่างที่บอก…ในยามที่เศรษฐกิจยังยักแย่ยักยันเช่นนี้ ปัญหาใหญ่ที่ภาคเอกชนต่างกังวลคือเรื่องของความต่อเนื่องของนโยบาย แม้ตัว “นายกรัฐมนตรี” ยังไม่มีการปรับเปลี่ยนก็ตาม

แต่บรรดาขุนพลที่นำทัพเศรษฐกิจอยู่ในเวลานี้ ต่างมีความสำคัญไม่น้อย เพราะการเปลี่ยนม้ากลางศึก ก็เท่ากับว่าทำให้เกิดความเสี่ยง โดยเฉพาะม้าที่ต้องเข้ามาดูแลระบบเศรษฐกิจ

ต่อให้ประชาชนคนไทยทั้งประเทศ “เคยชิน” กับการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล การปรับครม. ก็ตาม แต่ในยามที่ประเทศกำลังมีศึกรอบตัวเช่นนี้

ปัญหาหนัก!! จึงหนีไม่พ้นที่ “ผู้นำ” ประเทศ ต้องแสดงฝีมือให้เห็นว่าจะเรียกความเชื่อมั่นและปั๊มเศรษฐกิจให้โงหัวขึ้นมาได้อย่างไร?

……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”

อ่านบทความทั้งหมดคลิกที่นี่