นยุคที่โลกมีความท้าทายและผันผวนไม่แน่นอน ผู้ประกอบการจึงศึกษาปรับตัวกันตลอด โดยนอกจากการใส่ใจศึกษาข้อมูลต่าง ๆ แล้ว การรับฟังไอเดียจากผู้มีประสบการณ์ก็เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจ โดยวันนี้คอลัมน์นี้มี “ข้อคิด–มุมคิด” นำมาให้พิจารณากัน ที่เป็นการเก็บตกมาจากงานแจก “รางวัลเอสเอ็มอียั่งยืน ปี 2025” จัดโดย ซีพี ออลล์ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อให้ความรู้แก่เอสเอ็มอี
สำหรับข้อคิดดี ๆ ดังกล่าวมาจากบางส่วนของการบรรยายพิเศษโดย ซีเค เจิง ซีอีโอของฟาสต์เวิร์ค (Fastwork) ที่ให้แนวทางว่า สมมติเปรียบเทียบประเทศต่าง ๆ กับดินสอ อเมริกาคือคนคิดค้นดินสอ ญี่ปุ่นคือคนคิดค้นดินสอกด เพื่อแก้ Pain Point ดินสอที่ต้องคอยเหลา ส่วนจีนผลิตดินสอได้ถูกสุด ขณะที่อิตาลีเน้นทำดินสอให้สวย สบาย และแพงที่สุด แต่สำหรับไทยนั้น เราเป็นได้เพียงแค่ผู้บริโภคเท่านั้น เป็นสิ่งที่ซีอีโอรายนี้ระบุไว้บนเวทีดังกล่าว โดยซีอีโอคนเดิมได้ขยายความเรื่องนี้ไว้เพิ่มเติมว่า ไทยนั้นมีความสามารถในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว แต่ไม่ค่อยมีวัฒนธรรมว่าต้องคิดค้นหรือสร้างเองขึ้นใหม่ ซึ่งอาจเป็นเพราะไทยคุ้นชินกับการเป็นศูนย์กลางการค้ามาตั้งแต่ในอดีต ดังนั้นหากไทยจะก้าวให้ไกลมากขึ้นต้องไม่มุ่งแข่งขันการผลิตและขายสินค้าราคาถูก แต่ “ต้องคิดให้แตกต่าง” พร้อมยกตัวอย่าง “5 เทรนด์ธุรกิจ ปี 2025” เพื่อใช้ใสร้างโอกาส ดังนี้
1.Niche products are winning ที่เน้นสินค้าที่เจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม หรือสินค้าที่กำลังได้รับชัยชนะ เพราะสินค้าที่ขายทุกคนคือสินค้าที่ขายไม่ออก เช่น แบรนด์ Hoka ที่เลือกทำตลาดเฉพาะ เช่น ขายรองเท้าปีนเขาที่ดีที่สุด และแบรนด์ On ที่ลงมาทำตลาดแบบ Customization ที่เน้นเป็นรองเท้าเฉพาะสำหรับบุคคล จนทั้งสองแบรนด์ก้าวขึ้นมาเป็นแบรนด์ดาวรุ่ง ซึ่งสามารถมัดใจผู้บริโภคในยุคที่พฤติกรรมเปลี่ยนไปรวดเร็ว และสามารถแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดจากแบรนด์ใหญ่ ๆ มาได้อย่างไม่คาดคิด
2.Small luxury โดยหากเทียบวันนี้กับเมื่อ 50 ปีที่แล้ว คนยุคใหม่ทำงานมากขึ้น แต่มีความสามารถในการซื้อสินทรัพย์ขนาดใหญ่ ลดน้อยลง อย่างไรก็ตาม แต่ผู้คนก็ยังคงต้องการแสวงหาของขวัญที่สามารถให้เป็นรางวัลตอบแทนของตัวเองได้อยู่ จึงเริ่มเห็นเทรนด์ Small Luxury หรือความหรูหราที่พอเข้าถึงได้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
3.Out of the box product variation strategy เป็นการตลาดที่นอกกรอบจากสินค้าของตัวเอง เช่น กรณี Air BNB แพลตฟอร์มจองที่พัก ที่ตัดสินใจนำกำไรตัวเองไปสร้างบ้านแบบว้าวๆ เพื่อปล่อยเช่าผ่านแพลตฟอร์มเพื่อกระต้นให้คนอยากลอง จนคนจดจำได้
4.Making boring products interesting ทำให้สินค้าที่ถูกมองข้ามน่าสนใจมากขึ้น เช่น น้ำยาซักผ้า ที่ทุกแบรนด์มักสื่อสารแบบตะโกนด้วยสีสด ฝาใหญ่เหมือนกันหมด แต่มีแบรนด์ในสหรัฐอเมริกาสร้างความแตกต่างด้วยการกระซิบบอก โดยใช้แพ็กเกจจิ้งเรียบง่าย แต่พอวางบนชั้นเทียบกับแบรนด์อื่นกลายเป็นสินค้าที่แตกต่างโดดเด่นขึ้นมา
5.Personal brand actually makes a huge difference เน้นการขายความแตกต่างเพื่อสร้างกระแสไวรัลทำให้คนพุดถึงและหันมาสนใจ โดยไม่ได้ซื้อโฆษณา
นี่เป็น 5 เทรนด์สำคัญที่ซีอีโอฟาสต์เวิร์คนำมาเป็นตัวอย่างเพื่อฉายภาพ โดยช่วงท้ายเขายังพูดถึงเรื่องของ “แบรนดิ้ง” ว่าคือสิ่งที่สร้างความลำเอียง โดยตอนขายสินค้า ธุรกิจต้องไม่ขายแค่ฟังก์ชันอย่างเดียว แต่ต้องขายความลำเอียงให้ได้ด้วย เพราะความลำเอียงทำให้แบรนด์โดดเด่น ที่สำคัญต้องอย่าทำแบรนดิ้งเพื่อหวังความดัง แต่ต้องมีสิ่งที่อยากแก้ปัญหาให้กับลูกค้าด้วย และนี่เป็น “ข้อคิด” ที่เอสเอ็มอีน่านำไปปรับใช้ได้.
ศิริโรจน์ ศิริแพทย์ [email protected]