ถูกพูดถึงหนักมากสำหรับเรื่องราวของซีรีส์สุดปังที่หลายคนรอคอย “สงครามส่งด่วน” ทาง Netflix ที่นอกจากจะได้ความบันเทิงและข้อคิดดีๆสำหรับหนุ่มสาวผู้มีฝันและอยากเริ่มทำสตาร์ทอัพแล้ว ก็ทำให้เราเข้าใจรูปแบบของการทำธุรกิจขนส่งมากขึ้น ล่าสุด yimyim มีโอกาสได้เจอนักแสดงนำและผู้กำกับนำโดย ไอซ์ซึ-ณัฐรัตน์ นพรัตยาภรณ์ รับบท สันติ , เจนเย่-เมธิกา จีรนรภัทร รับบท เสี่ยวหยู , ดร.พลัง โลกศิลป์ รับบท รุ่ยเจี๋ย , เอก-ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ รับบท คณิน , พีช-พชร จิราธิวัฒน์ รับบท เคน และ ไก่-ณฐพล บุญประกอบ ผู้กำกับ-เขียนบท ที่จะมาเล่าการทำงานในเรื่องนี้และไอเดียที่ตัดสินใจนำเรื่องนี้มาทำเป็นซีรีส์

ซีรีส์เรื่องนี้มีเค้าโครงเรื่องจริงอยู่ด้วย ผู้กำกับบาลานซ์ระหว่างเรื่องจริงกับเรื่องแต่งยังไง ?

ไก่ ณฐพล: ซีรีส์เรื่องนี้ไม่ใช่อัตชีวประวัติ แต่เป็นซีรีส์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องจริง เพราะฉะนั้นมันจะไม่ใช่คำว่าบาลานซ์ แต่เราพยายามทำให้เรื่องนี้มันสนุกที่สุดเป้าหมายมีแค่สิ่งนี้ ผมสัมภาษณ์คนที่เป็นเจ้าของเรื่องมา เราแค่ต้องการที่จะได้วัตถุดิบที่มันดี ที่มันสนุก ที่มันสร้างแรงบันดาลใจมากพอ แล้วก็เติมแต่งใส่สี ใส่ไข่ เข้าไปเพื่อให้เรื่องมันเป็นโครงสร้างที่จบภายใน 7 ตอนได้ เพราะฉะนั้นการทำงานจะไม่ได้ไปคอนเซิร์น เหมือนกับตอนทำสารคดี ว่าเราเล่าเรื่องเขาแล้วมันจะไปกระทบกับใครหรือเปล่า เพราะการทำเรื่องนี้มันคือจินตนาการ เพียงแต่ว่าเราใช้ประโยชน์จากวัตถุดิบที่เราไปสัมภาษณ์มาแค่นั้นเอง โจทก์ของผมจะใช้จินตนาการยังไงให้สนุกเท่า วัตถุดิบที่เราได้มา เพราะเรื่องจริงจากการสัมภาษณ์มันสนุกมาก เลยต้องเขียนตัวละครเพิ่มขึ้นมาเพื่อเสริมให้กับเรื่องนี้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

ถ้าเราสรุปซีรีส์เรื่องนี้สั้นๆคือชีวิตของเด็กดอยคนหนึ่ง ที่เดินทางไปสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจระดับหมื่นล้าน ซึ่งผ่านการถูกหักหลังและเขาก็เลยเปิดขนส่งขึ้นมาเป็นคู่แข่ง ซึ่งภาพใหญ่นี้มาจากเค้าโครงชีวิตจริงของคนต้นเรื่อง อันนี้เป็นกระดูกสันหลังของเรื่อง แต่ส่วนที่เราเติมแต่งใส่ไข่ลงไปมีเป็นจำนวนมาก ตัวละครข้างเคียงอื่นๆก็จะเกิดจากจินตนาการขึ้นมา ส่วนเรื่องจริงเราหยิบขึ้นมาแค่บางส่วนอย่างเช่นการโดนกลั่นแกล้งโดยการส่งพัสดุปลอมหลายพันชิ้น หรือการพาเพื่อนร่วมงานไปลอยคอกลางทะเล แต่ผมเอามาใช้ ตามบริบทการ ผมสนใจแค่ตัวเหตุการณ์แต่ถอดออกมาผสมใหม่

กว่าไอซ์ซึจะรับซีรีส์แต่ละเรื่องมีระยะเวลาพอสมควร การที่รับเล่นเรื่องนี้มีอะไรดึงดูด ให้รับเล่นเลย?

ไอซ์ซึ : เวลาที่ผมรับเล่นแต่ละเรื่องก็จะมีเหตุผลที่แตกต่างกันออกไปสำหรับเรื่องนี้ พี่ไก่ เป็นเหตุผลแรกครับเพราะผมเคยทำงานกับพี่ไก่ ปกติพี่ไก่จะทำเป็นแนวสารคดีแล้วพอเค้าจะมาทำเป็นแนว fiction เรื่องแรกผมก็คิดภาพว่าเขาจะทำยังไง เราคลุกคลีกับพี่ไก่ก็เลยรู้ว่าเขาเป็นคนชอบดูหนัง และมีความลึกในด้านนี้ ผมก็เลยเชื่อว่าพี่ไก่ชวนผมมามันต้องมีอะไรดีๆอยู่แน่ๆ เลยทำให้เป็นเหตุผลที่ผมอยากร่วมงานกับพี่ไก่ แล้วก็เป็นเรื่องของบทที่ การเดินทางของเขามันสนุกมากมันดูเป็นเรื่องจริงที่เป็นไปไม่ได้ และบทก็ท้าทายความสามารถ ถามว่าบทบาทนี้ไกลจากตัวผมมากไหมถ้าเป็นในแง่ของตัวละคร และสกิลค่อนข้างไกลมาก เพราะตัวละครมีโจทย์ที่ต้องใช้เยอะทั้งในเรื่องของร่างกายเรื่องของภาษา และความสัมพันธ์ในเรื่องเล่าของตัวละคร แต่ก็มีความใกล้ด้วยเลยช่วยให้ผมสามารถเข้าถึงตัวละครได้ในบางจุดได้ง่าย

ในส่วน เอก ธเนศ รับบทเจ้าสัว หลังจากได้รับโจทย์มาแล้วได้มีการออกแบบตัวละครยังไงบ้าง?

เอก ธเนศ : ก่อนอื่นเราเริ่มจากการคุยกับทีมงานทุกๆคนว่าภาพที่ทุกคนเห็นเป็นยังไง แล้วมันก็จะค่อยๆประกอบร่างขึ้นมาเอง สิ่งที่ผมดีไซน์ออกมาคือพยายามจับความรู้สึกของคนที่เขาฟาดฟันกันด้วยธุรกิจว่ามันมีอะไรอยู่ในนั้น ซึ่งผมมองว่าน่าจะเป็นเรื่องของความสำเร็จ การเอาชนะ ความยิ่งใหญ่ อำนาจเพื่อที่จะได้อยู่ในจุดนั้นต่อไป ซึ่งมันเหนือเรื่องเงินไปมากกว่านั้นแล้ว พอตัดเรื่องของเงินและความรวยออกไป เราก็เลยจับความรู้สึกตรงนี้ ความพยายามที่อยากจะทำอะไรบางอย่างให้สำเร็จในสเกลของเรา แล้วพอเรารู้สึกบวกกับเสื้อผ้าหน้าผม แล้วตัวละครอื่นๆ มันช่วยให้เราเข้าถึงตัวละครได้มากขึ้น

ได้ยินมาว่ามีการเปลี่ยนโลเคชั่นเป็นร้อยกว่าที่ อยากรู้ว่าทำไมถึงตัดสินใจเปลี่ยนโลเคชั่นเยอะขนาดนี้ แล้วทำไมถึงตัดสินใจใช้ภาษาจีนในการสื่อสารในบทบาท?

ไก่ ณฐพล: เรื่องของภาษาจีนจริงๆแล้วมันเป็นสิ่งหนึ่งที่เป็นหัวใจของซีรีส์เรื่องนี้เลย เพราะอาวุธของสันติที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิดท่ามกลางความยากจนของเขาสมบัติเดียวที่เขามีคือภาษาจีนที่แม่สอนมาตั้งแต่เด็ก แล้วเขาก็ใช้สิ่งนี้ถีบตัวเองออกมาจากความยากจน ด้วยไหวพริบที่เขามีสิ่งนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าซีรีส์เรื่องนี้จะต้องมีการพูดภาษาจีนอยู่เยอะมาก ซึ่งถ้าผมเลือกได้ ผมก็คงให้เขาพูดหรอก แต่ว่าเมื่อต้องทำแล้ว ก็ต้องทำให้ผมเชื่อได้ว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ทั้งการพูดจีนอย่างคล่องแคล่วและตัวละครที่ต้องไปเอาคนจีนมาเล่น เพราะความละเอียดอ่อนของภาษา ถ้าเราเป็นเจ้าของภาษาเราจะสัมผัสได้ทันที ซึ่งซีรีส์เรื่องนี้เราก็อิมพอร์ตนักแสดงจากจีนมาร่วมแสดงด้วย สิ่งนี้คือสิ่งที่นักแสดงควรต้องทำงานหนักในเรื่องของภาษา

ในส่วนของโลเคชั่นถ้ารวมแล้วทั้งหมดคิดว่าน่าจะประมาณ 125 หรือไม่ก็ 128 แห่ง ด้วยความที่ซีรีส์เรื่องนี้มันเป็นธุรกิจขนส่ง แน่นอนว่ามันจำเป็นต้องการเดินทางเป็นจำนวนมากและเป็นโลชั่นที่เกิดขึ้นทั้งประเทศไทยและประเทศจีน เพราะการเดินทางของตัวละครสันติมันเริ่มมาจากบนดอย ตัวละครนี้มันเริ่มต้นจากเด็กดอย มาเป็นเด็กแว๊น ติดคุกมา ทำงานใช้หนี้ ทำงานที่เหมืองทราย ทำทัวร์ที่กรุงเทพไปจนถึงขายคอนโดที่เซี่ยงไฮ้ คือเรื่องของเราโลเคชั่นมาเป็นสิ่งที่พ่วงมากับเรื่องที่เราจะเล่าไปโดยอัตโนมัติ มันเลยจำเป็นที่จะต้องมีโลเคชั่นที่เยอะ แล้วผมก็ต้องขอบคุณทีมโลเคชั่นและ โปรดักชั่นดีไซน์ที่ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้มันมีชีวิตขึ้นมาและไปไกลกว่าบทที่ผมกล้าที่จะจินตนาการ ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนเลยคือโกดังของธันเดอร์ และโกดังของอีซี่ ตอนเขียนบทผมก็คิดไม่ออกว่าเราจะเซ็ตยังไง ซึ่งในท้ายสุดเมื่อทีมโลเคชั่นหาโลเคชั่นที่เหมาะสม มีเสน่ห์ และมีความเป็นเอกลักษณ์มากๆ มาได้ แม้ว่าโกดังขนส่งมันควรจะเป็นโกดังที่ธรรมดา แต่สำหรับโกดังที่เราเลือกมันมีเสน่ห์ มีความอบอุ่น มีความแออัด และมันทำงานได้จริง สามารถรองรับคนทำงาน 200 คนทุกวัน ซีรีย์มันเล่าการขนส่งที่บ้านระห่ำและพัสดุที่มันล้นจนคลังแตก แค่อ่านเจอในบท ทีมอาร์ตก็คงปวดหัวแล้วเพราะว่ามันต้องมีของเป็นจำนวนหมื่นๆชิ้น และมันไม่ใช่แค่กล่องที่เป็นเหมือนกันหมดแต่มันต้องมีตัวสินค้าในหลากหลายรูปแบบ รวมถึงสายพานการขนส่งที่จำเป็นจะต้องใช้จริงๆในการถ่ายทำ ด้วยความยึดติดด้านสารคดีของผมที่ต้องเห็นทุกอย่างดูจริง และใช้งานได้จริง ทีมก็ต้องทำงานหนักมากๆ

เหตุผลอะไรทำไมถึงเลือกแต่ละคนมารับบทนี้?

ไก่ ณฐพล: ต้องออกตัวก่อนเลยว่าทุกตัวละครที่ผมเขียนมาคิดไม่ออกเลยว่าจะเอาใครมาเล่น เพราะมีข้อจำกัดและข้อเรียกร้องสูงต่อตัวละครแต่ละตัว ถ้าตัวละครสันติที่รับบทโดยไอซ์ซึ เลือกไอซ์มาทั้งที่ไอซ์พูดจีนไม่ได้เพราะเราเชื่อว่าไอซ์แบกซีรีส์นี้ในฐานะนักแสดงนำได้แน่นอน เพราะในเรื่องของแอ็คติ้งของเขาที่มีสกิลที่เก่งอยู่แล้วและคาแรคเตอร์ จุดสำคัญที่เป็นหัวใจคือไอซ์มีจุดร่วมกับสันติคือแพชชั่นอันแรงกล้า ไฟในดวงตาที่มีต่องานที่ทำ สันติมีในด้านของการทำธุรกิจ แต่ไอซ์มีในด้านของการแสดงซึ่งสิ่งนี้ผมรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่เขาสามารถรีเลทด้วยกันได้ ไอซ์ก็เป็นตัวเลือกที่ใช่มากๆสำหรับผม

ส่วนเจนเย่ จะได้เปลี่ยนในเรื่องของภาษาที่เขาสามารถพูดภาษาจีนได้ จากการแคสติ้งเสี่ยวหยูมันค่อนข้างยาก เพราะมีอุปสรรคในเรื่องของภาษาแต่นอกเหนือจากเรื่องของภาษาแล้ว แม้ว่าบุคลิกภาพของเจนที่ดูเด็กจากงานอื่นๆที่เขาเล่นมา แต่พอวันที่เขามาแค่ผมก็รู้สึกเลยว่าเขามีอายุจิต น้ำเสียง แววตาของเขา พอเขาพูดแล้วเราเชื่อว่าเขาแบกความรับผิดชอบที่ใหญ่ของตัวเอง ได้ซึ่งเจนทำหน้าที่นั้นได้ดีมาก โดยเฉพาะบทของเสี่ยวหยูที่ต้องกำกับดูแล ระเบิดสองลูกนี้(สันติและรุ่ยเจี๋ย)ในบริษัทเดียวกัน

ตัวละครรุ่ยเจี๋ยเป็นตัวละครที่มีเบสออนมาจากเรื่องจริงเป็นพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจของคนต้นเรื่อง ซึ่งผมฟังแล้วก็รู้สึกว่าคนแบบนี้มันมีอยู่จริงด้วยหรอ ผมไม่เคยเจอเขาเลยแต่แค่ฟังเรื่องเล่าแล้วเราก็จินตนาการต่อว่าถ้าเขาเป็นคนที่ดุลูกน้องแบบนี้ ดุด้วยความรักและมีความซื่อตรงกับงานมากๆ เขาจะเป็นคนยังไงแต่งตัวยังไง หรือว่าเขาจะไม่ถูกกับคนแบบไหนอันนี้เป็นส่วนที่ผมใช้จินตนาการเสริมเข้ามา เหตุผลที่เลือก ดร.พลัง มาเล่นตัวละครนี้เป็นประจวบเหมาะของการที่บทของรุ่ยเจี๋ยเป็นบทที่เราหายากมากๆหนึ่งคือเรื่องของภาษา เราต้องการคนจีนที่พูดภาษาไทยได้ ไม่ใช่คนคนไทยที่พูดภาษาจีนได้เพราะสำเนียงจะไม่เหมือนกัน ตัวละครรุ่ยเจี๋ยเป็นตัวละครที่มีความขี้โมโห ด่ากราดแต่คนก็ยังรักเขา ซึ่งบางทีมันก็น่าขำว่าจะอะไรขนาดนั้น ดร.พลัง เป็นส่วนผสมของทุกอย่างที่เราต้องการ เราเลือกเขาเพราะไม่มีตัวเลือกแล้วจริงๆแล้วเหมือนกับฟ้าประทานก็รู้สึกว่าเป็นโชคของพวกเรามากที่ได้ด็อกเตอร์มาร่วมแสดง

ส่วนพี่เอก เราใช้เวลานานมากเหมือนกันในตัวละครนี้ที่ค่อนข้างมีความซับซ้อนมีความลึกมีพลังอำนาจมาก นักแสดงในเจเนอเรชั่นของพี่เอกผมมองไปทั่วแล้วสุดท้ายไม่มีใครที่จะทำบทนี้ได้สมบูรณ์แบบเท่าพี่เอก ยิ่งในเรื่องของการใช้เสียง แววตาของพี่เอก มันทำให้ผมเห็นตัวละครเหล่านี้ในตัวพี่เอกชัดมาก

ส่วนพีชก็จะเป็นการเลือกจากธาตุคนละขั้วของตัวละครสันติ เพราะตัวละครของไอซ์ค่อนข้างที่จะมีความร้อนแรงมีความพุ่งพล่าน มุทะลุ ดุดัน แต่ในขณะที่คู่ต่อสู้ของคนคนนี้มันควรจะเป็นคนแบบเดียวกัน มันควรจะเป็นคนกวนตีนแบบพีช เป็นคนที่ต้องสู้ด้วยอีกวิธีหนึ่ง โดยการที่เราไม่เดินไปชนแต่จะให้เขาเดินมาตกหลุมที่เราวางไว้มันจะมีความลื่นไหลพลิกแพลง ในขณะเดียวกันผมว่า สิ่งที่พีชแบกไว้มันคือความเปราะบางในฐานะนักแสดงที่มีบุคลิกภาพที่โดดเด่นบวกกับสตอรี่ที่พีชมีความเข้าใจในเรื่องของธุรกิจมากกว่านักแสดงอื่นๆในเจเนอเรชั่นเดียวกัน ทั้งพื้นฐานจากครอบครัวและธุรกิจที่พีชทำเอง ตอนคุยกันก็เชื่อได้เลยว่าพีชน่าจะทำบทนี้ได้ดีมากๆ

สำหรับเรื่องนี้ตัวละครเสี่ยวหยู ต้องใช้ภาษาจีนอยู่แล้วและเจนเย่เองก็สื่อสารเป็นภาษาจีนได้ สำหรับบทนี้ยังมีความยากในเรื่องของภาษาอยู่อีกไหม?

เจนเย่: จริงๆเจนพูดจีนได้ในระดับหนึ่งสามารถสื่อสารได้แต่ถ้าจะให้พูดเพื่อทำงานศัพท์ที่ใช้ก็จะเป็นคนละศัพท์กัน ซึ่งหนูก็ต้องไปเรียนคำศัพท์เพิ่ม ยากมากเหมือนกันเพราะในบริษัทสตาร์ทอัพก็จะใช้คำศัพท์ที่ไม่เหมือนกันเลย มันยังคงยากมากอยู่เหมือนกัน หนูสามารถพูดได้อยู่แล้วแต่ต้องเรียนเพิ่มขึ้นไปอีก สิ่งที่ทำให้หนูอยากเล่นเรื่องนี้ตั้งแต่ที่GDHติดต่อมา หนูไม่รู้หรอกว่าเป็นเรื่องอะไร แต่ในใจเรารู้สึกอยากเล่นแล้ว ยิ่งรู้ว่าลงแพลตฟอร์ม Netflix เลยรู้สึกว่าถ้าเราได้อยู่ใน Netflix เราก็อยากเล่นมาก แล้วพอยิ่งได้อ่านบทมันสนุกมากจนหนูหยุดอ่านไม่ได้ ไม่แน่ใจว่าใช้คำว่าหนูตัดสินใจรับเล่นได้หรือเปล่า เพราะหนูต้องไปแคส แล้วเขาก็รับเลือก เลยดีใจและขอบคุณมากๆที่เลือกหนูมาเล่นเป็นเสี่ยวหยู เรื่องนี้เป็นเรื่องที่หนูได้เล่นบทที่แตกต่างจากเรื่องอื่นๆโดยสิ้นเชิง เชื่อว่าหลายคนคงไม่เคยเห็นหนูในบทบาทแบบนี้

พอรู้ว่าเราต้องมาเล่นเป็นระเบิดของเรื่อง ต้องทำการบ้านกับคาแรกเตอร์นี้ยังไงบ้าง?

ดร.พลัง: หนักเหมือนกันครับ ต้องกลับไปหาตัวอย่างที่เคยมีประสบการณ์แบบนี้มา เพราะคนจีนส่วนใหญ่อารมณ์ร้อนและเวลาทำงานเขาต้องการประสิทธิภาพสูงมีปัญหาอะไรเขาก็จะด่าไว้ก่อน แล้วผมก็เจอแบบนี้มาเหมือนกัน เลยเอาตัวอย่างที่เคยเจอมาลองใส่ดู ซึ่งผมเก็ทว่าทำไมเค้าถึงอารมณ์ร้อน เพราะเวลาเราทำงานจริงๆเราก็มักจะมีอารมณ์ร้อนตาม ถ้าไม่ได้ดั่งใจมันก็จะระเบิดทันทีครับ

สำหรับพีช ที่คลุกคลีกับการทำธุระกิจอยู่แล้ว พอมารับเรื่องนี้ เราต้องทำการบ้านเรื่องไหนเพิ่มอีกบ้าง?

พีช พชร: สำหรับผมตัวละครกับตัวเราค่อนข้างที่จะต่างกัน ก็ต้องเริ่มจากการดูว่ากิจกรรมแต่ละอย่างของตัวละครเขาต้องทำอะไรบ้าง ซึ่งของผมตัวละครนี้จะอยู่กับเจ้าสัวเป็นหลัก เราก็ต้องเริ่มจากตรงนั้นว่าเรื่องราวความหลังของตัวละครคืออะไร ตัวละครเคนที่ผมได้รับค่อนข้างที่จะมีปมกับพ่อ มันก็ต้องกลับไปตรงที่เขามีความคิดยังไงกับพ่อของเขาและมองว่าทำไมเขาถึงกลายเป็นคนแบบนี้ พอเราเริ่มทำการเวิร์คช็อปด้วยกันเราก็ได้เห็นมุมมองที่เราได้เห็นตัวละครในแบบที่เราไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้น ตอนแรกผมเข้าใจตัวละครนี้ว่า โดนพ่อสั่งให้ทำตามความต้องการของตัวเอง แต่พอมาทำงานด้วยกันก็ทำให้รู้ว่าตัวละครของพ่อเองก็มีความกลัวเหมือนกันว่าลูกจะไปรอดไหม ซึ่งผมมองว่าคนที่เป็นพ่อแม่จะมีความห่วงลูก ว่าถ้าวันนึงเขาไม่อยู่แล้วลูกจะโตได้หรือเปล่า ก็เลยใช้วิธีการของเขามาครอบตัวเราไว้ สุดท้ายเคนก็อยากจะบอกพ่อไม่ต้องเป็นห่วง เขาทำได้ซึ่งมันก็จะกลายเป็นความเจ็บปวดจากการที่เขาไม่คุยกัน มันเลยออกมาเป็นตัวละครแบบนี้ สุดท้ายมันก็อยู่ที่พี่ไก่ว่าการที่เราแอ็คชั่นไปแบบนี้มันถูกต้องตามความต้องการของพี่ไก่ไหมครับ

เตรียมตัวเป็นสันติยังไงบ้าง?

ไอซ์ซึ :สำหรับภาษาจีนเวลาผมใช้เสียงมันก็จะเปลี่ยนไปด้วยตอนที่เราออกเสียงเวลาเราแสดงออกทางอารมณ์มันจะเป็นอีกแบบนึง ไม่เหมือนที่เป็นคำศัพท์ภาษาไทย ผมก็ได้เตรียมตัวเรียนภาษาจีนประมาณสามเดือน มีเราซื้อปันปันมาโค้ชให้ แล้วพอไปหน้าเซ็ทก็โชคดีที่มีนักแสดงที่พูดจีนเป็นเขาก็ช่วยผมในกอง นอกจากเหล่าปันปันแล้วผมจะมีเหล่าซืออีกหลายคน ทั้งเหล่าซือเจนเย่ และเหล่าซือพลัง และถ้าอื่นๆในกองถ่าย

ส่วนมากเรื่องของคาแรกเตอร์ดีไซน์จะเริ่มต้นมาจากพี่ไก่และพี่วรรณ โดยได้นำรูปของคนต้นเรื่องมาให้ผมดู ผมก็ได้มีการไปอบผิวและลดน้ำหนักลง แล้วด้วยความที่ตัวละครของเขามีความพุ่งมาก เราก็เลยจะลดด้วยวิธีกินน้อยไม่ได้ เราก็เลยต้องลดด้วยวิธีที่เราจะสามารถไปออกกองและซีนแอ็คชั่นได้ โดยจะต้องคาร์ดิโอและออกกำลังกายจริงจัง อย่างเช่นวันไหนที่ไปถ่ายทำกันสองวัน จะต้องไปวิ่งเพื่อให้ร่างกายมันฟิตแอนด์เฟิร์มตลอดในระยะเวลาห้าเดือนของการถ่ายทำ และต้องผอมด้วย ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ผมไม่เคยทำมาก่อนและได้ลองมาทำเรื่องนี้ และในเรื่องอื่นๆของโมติเวชั่นละครเรื่องของภาษาโจทย์มันค่อนข้างยากพยายามทำให้ได้ตามความคาดหวังของตัวบท สำหรับตัวผมและผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ท้าทายที่สุดเท่าที่ผมแสดงมาความยากที่ผมเจอในตัวละครสันติ ด้วยความที่เขาเป็นคนมุ่งหน้า เป็นคนรุก ตัดสินใจเร็วเด็ดขาด แสดงออกทางอารมณ์อย่างตรงไปตรงมา ความเชื่อของผมคือจะต้องเข้าไปในทุกๆซีนแล้วสามารถโฮล์ความรู้สึกนั้นได้ตั้งแต่ต้นเรื่อง จนจบได้เวลาที่ผมออกกองผมจะต้องมีพลังงานนั้น ซึ่งมันตรงข้ามกับสิ่งที่ผมเป็น มีแพชชั่นก็จริงแต่จะนิ่งหน่อย แต่ของเขาจะมีพลังในซีน เช่นต้องไปขับรถมอเตอร์ไซต์ ระเบิดอารมณ์กับพี่เอก หรือแม้กระทั่งการตะโกนการปา มันก็จะดูยากไปหมดซึ่งเราต้องรักษาอารมณ์นั้นให้ได้จนจบ พอจบเรื่องนี้ผมก็หมดแรงครับ

ฝากซีรีส์ สงครามส่งด่วนสักหน่อย?

ไก่ ณฐพล: นับตั้งแต่วันแรกที่ผมสัมภาษณ์คนต้นเรื่องตั้งแต่ 4 ปีที่แล้ว วันนั้นเป็นวันที่ผมจดจำไว้ว่าผมทึ่งมาก ว่ามันมีคนแบบนี้จริงๆวะ เรื่องราวมันเข้มข้นมากและสร้างแรงบันดาลใจได้มากขนาดนี้ ผมพยายามเก็บความรู้สึกนั้นไว้และรักษาไปตลอด แล้วมันก็จะมีคำพูดหนึ่งที่อยู่ในอีพีหนึ่งที่เถ้าแก่เหมืองทรายเขาพูดไว้กับสันติว่า “ถอนขนนกกระจอกกับถอนขนไก่ใช้เวลาเท่ากันแต่ไก่ได้เนื้อเยอะกว่า มึงเป็นคนเก่งต้องเลือกเป้าหมายให้ดี คือจะทำอะไรให้เลือกใช้เวลาให้มันคุ้มค่ากับเป้าหมายที่ต้องการ” ซึ่งก็มีน้องเขียนบทอยู่คนนึงเขาเป็นพนักงานประจำเขียนบทเรื่องนี้กันมา ประมาณสองปีกว่าจนจบ พอเขียนบทจบน้องเขามาบอกผมว่า พี่ไก่หนูไปถอนขนไก่แล้วนะพี่ วันนี้น้องเขาลาออกไปเปิดบริษัททำงานของตัวเอง (หัวเราะ) ผมหวังว่าซีรีส์เรื่องนี้มันจะมอบพลังบางอย่างให้กับคนดู ไม่ว่าเขาจะมีเป้าหมายใหญ่ในชีวิต หรือไม่ได้มีเป้าหมายที่ใหญ่โต หรือลงทุนทำอะไรซักอย่าง อยากจะลุกขึ้นมาออกกำลังกาย หรืออะไรแล้วแต่ หวังว่าซีรีส์เรื่องนี้มันจะช่วยส่งต่อพลังงานจากตัวของละครสันติและคนรอบข้างในซีรีส์ให้เขาเห็นว่ามันมีชีวิตในเรื่องนี้ ที่คนที่มันมีเป้าหมายชัดเจนแล้วกล้าพุ่งชน ชีวิตมันมีสีสันแล้วมันมีความสนุกยังไงบ้าง แล้วเราค้นพบอะไรบ้างระหว่างทาง หวังว่าคนที่เขาได้ดูจะได้รับแรงบันดาลใจเหล่านี้ไปครับ

งานนี้ใครที่อยากได้แรงบันดาลใจในการสตาร์ทอัพชีวิตของตนเอง ก็ไปดูเรื่องนี้เลย รับรองคุณจะมีไฟและพร้อมทะลุขีดจำกัดของตัวเองในการทำแต่ละอย่างได้แน่นอน


คอลัมน์ “1 Day With ซุปตาร์”

โดย yimyim