สมรภูมินิติสงครามระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทยที่มีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และองค์กรอิสระเป็นตัวแทนนักรบในสนามกำลังเดือดเลือดสาด   โดยเฉพาะ คดีฮั้วเลือก สว.” ล่าสุดศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ .ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม หยุดปฏิบัติหน้าที่กำกับดูแลดีเอสไอ หลังแจ้งข้อกล่าวหา สว.สีน้ำเงิน  วันนี้ “คอลัมน์ตรวจการบ้าน” ต้องมาสนทนากับจตุพร พรหมพันธุ์” วิทยากรคณะหลอมรวมประเทศไทย มาวิเคราะห์ทิศทางการเมืองต่อจากนี้

โดย “จตุพร” เปิดประเด็นว่าขบวนการเรื่องการฮั้ว สว.นั้นมี 2 เส้นทางอยู่แล้ว หนึ่งก็ คือ เส้นทางจาก “ดีเอสไอ กกต.”  สองก็คือเส้นทางจาก สว.ที่ยื่นไปยังศาลรัฐธรรมนูญ คือ เส้นทางที่ไป กกต. หรือดีเอสไอนั้นยังต้องใช้ระยะเวลาที่มากกว่าเส้นทางที่ สว.เข้าชื่อร้องศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนเรื่องการสั่งยุติการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐมนตรี เฉพาะหน่วยงานนี่ก็ถือว่าเป็นครั้งแรกของประเทศไทย เพราะว่าที่ผ่านมาก็คือสั่งแล้วพักกันทั้งกระทรวง เหมือนนายกรัฐมนตรีก็พักในตำแหน่งนายกฯ แต่ว่าก็ไม่ได้มีบรรทัดฐานว่าถ้ากรณีถูกพักแล้วการตัดสินจะต้องผิดสถานเดียว ดูกรณีเทียบเคียงกับกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เทียบเคียงกับนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ นายเศรษฐาไม่ได้ถูกสั่งยุติปฏิบัติหน้าที่ แต่สุดท้ายไม่รอด

ขณะที่กรณี พล.อประยุทธ์ ศาลสั่งยุติปฏิบัติหน้าที่ แต่สุดท้ายคือรอดกลับมา เพราะฉะนั้นก็ไม่ได้มีมาตรฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ก็เสมือนหนึ่งส่งสัญญาณให้รับรู้แล้ว เพราะว่าในวันเดียวกันนั้น สำนวนที่สว.สำรองได้ยื่นไปยังศาลรัฐธรรมนูญก็ถูกตีตก และรับเรื่อง ของสว.ที่มีการเข้าชื่อร้องนายภูมิธรรม เวชชยชัย รองนายกฯ และรมว.กลาโหม และ .ต.อ.ทวี เพียงแต่ว่าขั้นตอนถัดจากนี้มันน่าสนใจ  เรื่องราวในซีกของดีเอสไอและกกต.นั้น อย่างไรก็ช้ากว่าศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้นปลายทางเรื่องนี้มันก็เห็นอยู่แล้วว่าร่องรอยในพรรคร่วมรัฐบาล นี่ก็คือสงครามตัวแทนอย่างหนึ่ง เรื่องของความขัดแย้งอย่างไรก็หนีกันไม่ออก

@เรื่องนี้เป็นการส่งสัญญาณในการเปลี่ยนอำนาจทางการเมืองหรือไม่

ตอนนี้เป็นช่วงระหว่างปลายๆ ของรัฐบาลอยู่แล้ว เมื่อวันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมาก็เป็นวันครบรอบ 2 ปีของวันเลือกตั้งปี 2566 เราเห็นร่องรอยของความขัดแย้งที่สะสมภายในรัฐบาล เนื่องจากเป็นปลาผิดน้ำกันมาตั้งแต่ต้น มาเจอกันโดยไม่ได้มีจิตปฏิสัมพันธ์ที่จะร่วมงานกันมาตั้งแต่ต้น แต่เป็นเรื่องของการตระบัดสัตย์ข้ามขั้วกันมา เพราะฉะนั้นนโยบายของพรรคเพื่อไทยก็แทบจะไม่ได้นำมาใช้ แต่เรื่องที่มันเป็นปัญหาคือนโยบายที่คุณทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ คิดและรัฐบาลโดยเฉพาะตัว “อุ๊งอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ และรัฐบาลพรรคเพื่อไทยคิดจะทำ บางเรื่อง เช่น กาสิโน ในนามเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์นั้น พรรคภูมิใจไทย และพรรคร่วมอื่น เห็นว่าความจริงปลายทางคือภัยเหมือนกัน เพราะว่าถ้าการเมืองมันไม่ใช่ ในวันหนึ่งมันก็อาจจะต้องติดคุกกันระนาว นี่ยังไม่นับเรื่องการจัดทำงบประมาณ ผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 144  เพื่อเอาเงินหมื่นมาแจก ที่นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ ไปยื่น ป.ป.ช. เรื่องนี้มีทั้งพยานเอกสาร รายงานบันทึกการประชุมครบถ้วน

ซึ่งรัฐธรรมนูญชี้ว่า ป.ป.ช.ต้องพิจารณาโดยพลัน เพื่อส่งศาลรัฐธรรมนูญ และศาลรัฐธรรมนูญมีเวลาเพียง 15 วัน ในการพิจารณาให้แล้วเสร็จ โทษก็คือพ้นจากตำแหน่ง และตัดสิทธิ์ทางการเมือง พร้อมชดใช้ค่าเสียหาย  กระดานนี้ก็หมายความว่ากวาดกันเกือบหมดกระดาน  ซึ่งอนาคตของรัฐบาลก็ขึ้นอยู่กับตัว “ทักษิณ” ว่าทิศทางวันที่ 13 มิ.ย.หรือหลังจากนั้นชะตาของ “ทักษิณ” จะเป็นอย่างไร จะอยู่หรือจะไป อยู่ในสภาพไหน จะกลับเข้าไปคุกหรือจะหลบหนีกันอีกรอบ ทั้งหมดจะเป็นการส่งสัญญาณไปยังเรื่องราวต่างๆ ของทั้งตัวนายกฯ พรรคเพื่อไทย และรวมถึงเรื่องของพรรครัฐบาลที่คาอยู่ในองค์กรอิสระต่างๆ

@การขบเหลี่ยมปีนเกลียวระหว่างพรรคเพื่อไทยกับภูมิใจไทย มองว่าใครอยู่เหนือกว่ากัน

พรรคภูมิใจไทยเขารู้จักพรรคเพื่อไทยมากที่สุดอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าในส่วนของพรรคเพื่อไทยนั้น ตัวพ่อของนายกฯ ไปมีชนักเรื่องชั้น 14 แน่นอนที่สุด การปฏิบัติการตอบโต้ระหว่างเรื่อง สว.กับบ่อนกาสิโนก็เห็นกันอยู่ แต่หัวใจของพรรคเพื่อไทยนั้น ตามที่เขาพูดกันก็คือ “ตัวคุณทักษิณ” ซึ่งสถานะของ “ทักษิณ” อย่างไรตอนนี้ก็เป็นรอง เพราะว่าเรื่องราวของ “ทักษิณ” ถ้ามีผลอย่างไร ก็จะส่งผลถึง “อุ๊งอิ๊งค์”ที่จะได้รับผลถัดไป และรวมถึงพรรคเพื่อไทย ถ้ามองเกม ณ ขณะนี้ แม้กระทั่งเรื่อง สว. ในส่วนที่เป็นคุณกับพรรคภูมิใจไทยนั้น ก็คือว่าเป็นคุณมากกว่าพรรคเพื่อไทย

@มีกระแสข่าวพรรคภูมิใจไทยจะคว่ำงบประมาณปี 69

ผมมองว่ายังมีอีกหลากหลายเรื่องราวถัดจากนี้ไป มีอีกหลากหลายเกมความชุลมุนที่เกิดขึ้น จะเห็นได้ชัดเจนว่าพรรคการเมือง อย่างพรรคกล้าธรรมก็กำลังระดมสมาชิกเพื่อเพิ่มเสียงในรัฐบาล ถ้ากรณีมีความผิดพลาดในเรื่องของพรรคภูมิใจไทย นี่ยังไม่นับปัญหาในพรรครวมไทยสร้างชาติ คือทุกอย่าง ณ ขณะนี้เราเองก็มองเห็นร่องรอยที่เป็นปัญหาภายในของแต่ละพรรคการเมือง ซึ่งเรื่องการดูดงูเห่า เพื่อจะรับมือสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน บางคนก็คิดสูตรคณิตศาสตร์สมมติว่ามันไปกันไม่ได้กับพรรคภูมิใจไทย ก็ยังมีเสียงประเภทงูเห่าเข้ามาชดเชย แต่อย่างที่บอกว่าเรื่องนี้มันต้องแลกกับความเสื่อม เพราะว่าบางครั้งคณิตศาสตร์ก็ไม่ใช่คำตอบเสมอไป

@อะไรคือเรื่องใหญ่สุดที่จะพลิกโฉมการเมืองในเวลานี้ได้

“ปฐมบทต้องเริ่มจากคุณทักษิณ ว่าคุณทักษิณต้องกลับเข้าคุก หรือหลบหนีหรือไม่ กระบวนการต่างๆ ที่รออยู่ มันก็ล้มระเนระนาดอยู่แล้ว ปัญหาคือจะเปลี่ยนบ้านเมืองอย่างไร จะเปลี่ยนแบบเดิมหรือว่าจะเปลี่ยนเป็นอีกแบบหนึ่ง ผมว่าข้างหน้าอย่างไรรัฐบาลก็มองเห็นว่าไปไม่รอดอยู่แล้ว ที่เหนือกว่าเรื่องคณิตศาสตร์ ก็คือ ความเสื่อมถอย ซึ่งอารมณ์ของประชาชนก็มีมากยิ่งขึ้น คือวันนี้มันก็ต้องคิดอ่านเหมือนกันว่ารัฐประหารก็ไม่ใช่คำตอบ รัฐสภาก็มีปัญหา คนมันก็ต้องคิดเหมือนกันว่าแล้วอะไร ที่มันควรจะเป็น”

@สถานการณ์เวลานี้จะนำไปสู่การยุบสภาหรือไม่

เรื่องการยุบสภาเป็นของแสลงสำหรับคุณทักษิณ ตั้งแต่ตัวเองยุบสภาก็จัดการเลือกตั้งเป็นโมฆะปิดท้ายด้วยการรัฐประหาร ตอนคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ก็ยุบสภา เลือกตั้งโมฆะ ปิดท้ายด้วยการรัฐประหาร การยุบสภาล้มเหลวถึง 2 ครั้ง ล้มเหลว 100 % ที่เขาเลือกทางนี้ พอมาถึงคราวคุณอุ๊งอิ๊งค์เขาต้องรู้ว่า ทันทีที่ยุบสภาอำนาจมันหายไปครึ่งหนึ่ง ดังนั้นการตัดสินใจเรื่องนี้จะเป็นความยากลำบากของเขา