แม้ปฏิบัติการดังกล่าวประสบความสำเร็จ และเจ้าหน้าที่รัฐสามารถช่วยเหลือเหยื่อประมาณ 7,000 คน จาก 29 ประเทศ แต่ผู้สันทัดกรณีด้านการค้ามนุษย์ตั้งคำถามว่า การตัดไฟฟ้ามีความสำคัญอย่างไร หากเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม เช่น สตาร์ลิงก์ (Starlink), สเปซเซล (SpaceSail) หรือยูเทลแซต (Eutelsat) แพร่หลายในภูมิภาคนี้
สตาร์ลิงก์ ซึ่งเป็นของบริษัท สเปซเอ็กซ์ ของนายอีลอน มัสก์ ให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านชุดอุปกรณ์พกพา ซึ่งสิ่งที่ผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนต้องทำ มีเพียงการเชื่อมต่ออุปกรณ์ขนาดเล็ก และชี้เสาสัญญาณไปยังท้องฟ้า เพื่อเข้าถึงการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่เสถียร โดยแผนบริการข้างต้นมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 50 ปอนด์สเตอร์ลิงต่อเดือน (ราว 2,230 บาท)
“เราเริ่มเห็นสัญญาณสตาร์ลิงก์ปรากฏมากขึ้นเรื่อย ๆ ในพื้นที่ของศูนย์หลอกลวงเหล่านี้” นายแอนดรูว์ วสุวงศ์ ผู้อำนวยการองค์การยุติธรรมนานาชาติ ประจำประเทศไทย หรือ “มูลนิธิไอเจเอ็ม” ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ต่อต้านการค้ามนุษย์ กล่าว
ตามข้อมูลจากสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นโอดีซี) ทางการเมียนมาและไทย สามารถยึดอุปกรณ์สตาร์ลิงก์มากกว่า 80 เครื่อง เมื่อปีที่แล้ว และการที่ประเทศต่าง ๆ มีข้อจำกัดที่แตกต่างกันเกี่ยวกับอุปกรณ์เหล่านี้ ทำให้เกิดความคลุมเครือในความถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งสำหรับไทยและเมียนมา อุปกรณ์ดังกล่าวถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย และไม่ได้รับอนุญาตจากทางการ
แม้รัฐบาลไทยตระหนักถึงการใช้อุปกรณ์สตาร์ลิงก์เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานที่ผิดกฎหมาย และพยายามยึดอุปกรณ์เหล่านี้ แต่ข้อตกลงการค้าของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ที่อนุญาตให้นำสินค้าเข้ามาในประเทศไทย และนำไปยังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกประเทศหนึ่งโดยไม่ต้องตรวจสอบ ทำให้การดำเนินการเป็นเรื่องยาก
ด้านวสุวงศ์กล่าวว่า ศูนย์หลอกลวงหลายแห่งอาศัยการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของไทยอย่างผิดกฎหมาย และกลุ่มคนงานที่ได้รับการปล่อยตัวรายงานว่า ผลที่ตามมาคือ การปิดอินเทอร์เน็ตระหว่างปฏิบัติการช่วยเหลือนั้น “ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก”
อนึ่ง สหประชาชาติ (ยูเอ็น) ประมาณการว่ามีผู้คนหลายแสนคน ติดอยู่ในศูนย์หลอกลวงที่ดำเนินการโดยเครือข่ายอาชญากรในสถานที่ต่าง ๆ เช่น เมียนมา กัมพูชา และลาว ซึ่งแม้ทางการสามารถช่วยเหลือผู้คนออกมาได้เป็นจำนวนมาก แต่เหยื่ออีกหลายพันคนยังคงถูกกักขัง และต้องทำงานหลอกลวงให้กับองค์กรอาชญากรรมต่อไป
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนกล่าวว่า การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตมีความสำคัญต่อการดำเนินงานของศูนย์หลอกลวง และแก๊งอาชญากร ซึ่งส่วนใหญ่มาจากจีน ไต้หวัน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ที่ลงทุนเพื่อรับประกันการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต “ผ่านวิธีการที่ไม่ธรรมดา”
อย่างไรก็ตาม ดร.รีเบกกา มิลเลอร์ ผู้ประสานงานด้านการค้ามนุษย์และการลักลอบขนคนเข้าเมือง ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก จากยูเอ็นโอดีซี กล่าวว่า แม้แก๊งอาชญากรสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้อย่างแยบยล แต่การปิดอินเทอร์เน็ตในวงกว้างก็ไม่ไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง.
เลนซ์ซูม
เครดิตภาพ : AFP