สัญญาณเตือนความเปราะบางของเศรษฐกิจไทยเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น หลังจากธนาคารโลก หรือเวิลด์แบงก์ ได้ปรับคาดการณ์การขยายตัวเศรษฐกิจของไทยในปี 68 ล่าสุดเหลือแค่ 1.6% ลดลงอย่างมากจาก 2.9% เพราะมีความไม่แน่นอนสูงขึ้นเซ่นพิษสงครามการค้า ยิ่งไปกว่านั้นในวันต่อมา บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มูดี้ส์ เรตติ้ง ได้ปรับลดมุมมองแนวโน้มอันดับเครดิตของไทยลง จากมีเสถียรภาพ (สเตเบิ้ล) เป็นเชิงลบ (เนกาทีฟ)
เป็นการตอกย้ำว่า ในมุมมองของสถาบันต่างชาติ ทั้งธนาคารโลก และมูดี้ส์ ซึ่งเป็นบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถืออันดับต้น ๆ ของโลก มีความเป็นห่วงในเรื่องความมีเสถียรภาพของเศรษฐกิจไทย และทางด้านการคลังของไทย เนื่องจากต้องยอมรับว่าในเวลานี้เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงจากปัจจัยลบรอบด้าน โดยเฉพาะปัจจัยในต่างประเทศ สงครามการค้าที่กำลังหาทางออกว่าจะยุติลงได้อย่างไร
สงครามการค้าก่อตัว
ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา สงครามการค้าเริ่มก่อตัวชัดมากขึ้น หลังจาก “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐ เข้ารับตำแหน่งและเริ่มนโยบายภาษีแบบตอบโต้ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ากับประเทศคู่ค้าที่ทำให้สหรัฐต้องขาดดุลการค้า ซึ่งเป้าหมายหลักของสหรัฐคือ ประเทศจีน แต่ประเทศอื่นก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพียงแต่ได้ระยะเวลารอคอยจากสหรัฐนาน 90 วันนับตั้งแต่ต้นเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา
ประเทศจีน คือเป้าหมายหลักของสหรัฐ ในการทำสงครามการค้ารอบนี้ ทำให้การกีดกันการค้าเป็นศึกของประเทศยักษ์ใหญ่ แต่ทำให้สะเทือนทั่วทั้งโลก รวมถึงประเทศไทย ส่งผลให้หน่วยงานเศรษฐกิจหลายแห่ง เริ่มทยอยปรับมุมมองเศรษฐกิจ ปรับลดการขยายตัวจีดีพีไทยลงอย่างมาก เฉลี่ยแล้วเหลือไม่ถึง 2% ซึ่งยิ่งทำให้เศรษฐกิจไทยดิ่งเหวลงลึกไปมากกว่าเดิม และอาจเป็นความเสี่ยงภาระการคลังของไทยหากรัฐบาลจำต้องกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการกู้เงินมาทำนโยบาย
เปิดสาเหตุปรับลด
มูดี้ส์ เรตติ้ง เปิดสาเหตุสำคัญของการปรับมุมมองต่อแนวโน้มอันดับเครดิตลงเป็นเชิงลบ มาจากความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของเศรษฐกิจไทย ซึ่งมีผลทำให้สถานะทางการคลังอ่อนแอลง โดยเฉพาะหลังจากที่สหรัฐประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้า ส่งผลกระทบต่อการค้าและกิจกรรมทางเศรษฐกิจของโลก และมีผลกระทบตามมายังเศรษฐกิจไทย มีการฟื้นตัวที่เปราะบางตั้งแต่หลังช่วงโควิด-19
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตในรอบนี้ ต่างจากการปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตเป็นเชิงลบในรอบเดือน ธ.ค. 51 ใน
ช่วงของวิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ คือ เศรษฐกิจไทยใน
ปี 51-52 ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจการเงินทั่วโลก ซึ่งหลังจากวิกฤติคลี่คลายลง หรือ 22 เดือนหลังจากนั้น มูดี้ส์ก็ปรับแนวโน้มกลับมาที่มีเสถียรภาพในเดือน ต.ค. 53
นอกจากนี้ระดับหนี้สาธารณะของไทยยังอยู่ในระดับต่ำ โดยแม้ในช่วงนั้นรัฐบาลไทยกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยมาตรการการคลังซึ่งทำให้ยอดขาดดุลการคลังเพิ่มสูงขึ้น แต่ระดับหนี้สาธารณะของไทยก็ยังคงอยู่ภายใต้เพดานหนี้สาธารณะ โดยสัดส่วนหนี้สาธารณะขยับขึ้น 4.3% จาก 35% ของจีดีพีในเดือน ก.ย. 51 มาที่ 39.3% ของจีดีพีในเดือน ต.ค. 53
แต่ในรอบนี้ คงต้องมองย้อนกลับไปในเดือน เม.ย.63 ที่แนวโน้มอันดับเครดิตของไทยเริ่มปรับลดลงจากเชิงบวก มาที่มีเสถียรภาพ ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นหลังช่วง
โควิด-19 ก่อนที่จะตามมาด้วยรอบล่าสุดที่มีการปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตลงต่อมาที่เชิงลบ โดยเพิ่มเติมปัจจัยลบทางเศรษฐกิจจากการเปิดเกมปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐ และความเสี่ยงทางการคลังของรัฐบาลไทย

สัญญาณเปราะบาง
มีความเป็นไปได้ที่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถืออื่น ๆ อาจทบทวนแนวโน้มอันดับเครดิตของไทยตามมาด้วยเหตุผลที่คล้ายคลึงกัน เพียงแต่ในระหว่างนี้ไทยอาจยังมีเวลาราว 6 เดือน ถึง 1 ปี ตามรอบของการปรับอันดับความน่าเชื่อถือในอดีต เพื่อวางแนวทางรับมือผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจ ทั้งปัจจัยเฉพาะหน้าจากประเด็นการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐ และปัจจัยเสี่ยงเชิงโครงสร้างที่มีอยู่เดิมของเศรษฐกิจไทย ทั้งหนี้ครัวเรือนสูง ขีดความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจไทย และสถานะทางการคลัง
“หากมีสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถืออื่น ๆ ปรับทบทวนมุมมองที่มีต่อแนวโน้ม หรือปรับอันดับเครดิต ตามมาในอนาคตอันใกล้ ผลกระทบอาจทยอยชัดเจนขึ้น เพราะประเด็นนี้อาจนับเป็นหนึ่งในสัญญาณที่ย้ำว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยมีความเปราะบางลงมาก”
คำเตือนไม่ควรมองข้าม
“ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย” หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร มีมุมมองว่า การที่มูดี้ส์ออกมาปรับลดเป็นคำเตือนที่ไม่ควรมองข้าม เป็นคำเตือนชัดเจนว่า “เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในจุดเปราะบาง” และมูดี้ส์ ยังไม่ได้เพิ่มปัจจัย แผนการกู้เงินเพิ่มเติมที่รัฐบาลกำลังผลักดันอยู่ ทำให้ไทยต้องพบกับข้อจำกัดด้านการคลัง เจอกับ “กำแพงคู่” ที่ทำให้การคลังขยับได้ยาก
อย่างแรกคือข้อจำกัดด้านงบขาดดุล ตามกฎหมายการคลัง สามารถขาดดุลได้แค่ไม่เกิน 20% ของงบรายจ่ายประจำปีบวกกับ 80% ของงบชำระหนี้เงินกู้ ซึ่งจะอยู่ที่ประมาณ 4.5% ของจีดีพี แต่ในเวลานี้ได้ใช้เพดานนี้ไปหมดแล้วตั้งแต่ปีงบประมาณก่อน ถ้าจะใช้เงินเพิ่ม ก็ต้องดำเนินการออก พ.ร.ก. หรือ พ.ร.บ.กู้เงิน อย่างเดียวเท่านั้น
อย่างที่สอง เจอกับข้อจำกัดด้านระดับหนี้สาธารณะ ตอนนี้หนี้สาธารณะต่อจีดีพีอยู่ที่ 64% และคาดว่าจะพุ่งแตะ 70% ในไม่กี่ปี หากกู้เพิ่มตอนนี้ ก็มีโอกาสทะลุเพดานเร็วกว่าที่ควร แต่สิ่ง
ที่สำคัญกว่าคือ “จะใช้เงินไปทำอะไร?” มากกว่า “จะกู้เท่าไร”
วิธีการคือ หาวิธีใช้เงินที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ถ้ากู้มาเอาเงินไปแจก แล้วเศรษฐกิจไม่กระเตื้อง จะทำให้หนี้
ต่อจีดีพีพุ่งเร็วมาก แต่ถ้าใช้เงินไปกับโครงการที่มีทวีคูณสูง หนี้ขึ้น แต่จีดีพีขึ้นตาม สัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีก็จะไม่แย่ไปมากนัก ทำให้ต้องมีแผน “ลดหนี้” ที่น่าเชื่อถือ เพราะถ้าตลาดและสถาบันจัดอันดับอยากเห็นว่า การกู้ครั้งนี้เป็น “การใช้เงินระยะสั้นในยามจำเป็น” และมีแผนชัดเจนที่จะลดการขาดดุลในอนาคต นั่นหมายถึง ต้องเริ่มปฏิรูปการคลัง เช่น ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น ลดการรั่วไหลลดคอร์รัปชัน ขยายฐานภาษีถ้าจำเป็น ปรับอัตราภาษีบางประเภท เป็นต้น

ต้องเร่งแก้ 3 เรื่อง
“ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล” กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ให้ฟังคำเตือนของมูดี้ส์ในรอบนี้ เพราะอาจจะตามมาด้วยการลดเรตติ้งในอนาคต ถ้าหากเศรษฐกิจไทยอ่อนแอลงไปกว่านี้ ศักยภาพในการเติบโตลดต่ำไปกว่านี้ จากการปรับเปลี่ยนเชิงโครงสร้างในด้านต่าง ๆ รวมทั้งจากความปั่นป่วนในระบบเศรษฐกิจโลกจากนโยบายสหรัฐ และภาระหนี้ของภาครัฐไทยยังเพิ่มต่อเนื่องในช่วงต่อไป ทั้งจากปัญหาภายนอกและภายในที่จะเข้ามากระทบทำให้ไทยโตไม่ได้ หรือจากความตึงเครียดขัดแย้งทางการเมืองที่กระทบต่อความสามารถในการดำเนินนโยบายของไทย
สิ่งที่ต้องทำคือ เร่งแก้ไข 3 เรื่อง 1.ไม่ทำในสิ่งที่สหรัฐกังวลใจ 2.เตรียมการให้เศรษฐกิจไทยผ่านมรสุมจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐไปได้ พยายามลดผลกระทบที่เกิดขึ้น และ 3.มุ่งสร้างอนาคตที่แท้จริง เพราะสิ่งที่มูดี้ส์ อยากเห็น คือ ศักยภาพในการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องที่ 3-4% เป็นอย่างน้อย
“ซึ่งหมายความว่า เราต้องเร่งเรื่องโครงสร้างพื้นฐานด้านต่างๆ อย่างเป็นระบบ สร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่จะสร้างรายได้ที่แท้จริง เพิ่มศักยภาพการวิจัยของไทย แก้ไขกฎหมายที่ล้าสมัยที่เป็นโซ่ถ่วงประเทศ และที่สำคัญสุดคือ แก้ไขเรื่องการพัฒนาคนของไทย”
ห่วงความเชื่อมั่น
ด้านมุมมองของภาคเอกชน เป็นห่วงในเรื่องของความเชื่อมั่น โดย “พจน์ อร่ามวัฒนานนท์” ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มีมุมมองสะท้อนว่า เป็นสัญญาณที่ควรให้ความสำคัญ เพราะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและตลาดการเงินระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วงที่ไทยกำลังพยายามดึงดูดเงินทุนและฟื้นฟูเศรษฐกิจ แม้จะยังไม่ได้ปรับลดอันดับเครดิตโดยตรง แต่การเปลี่ยนมุมมองเป็นเชิงลบ ถือเป็น “สัญญาณเตือน” ถึงความกังวลต่อเสถียรภาพทางการคลังในระยะกลางและระยะยาว โดยเฉพาะประเด็นด้านวินัยการคลัง การบริหารหนี้สาธารณะ และประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ของรัฐ
“เกรียงไกร เธียรนุกุล” ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุว่า การปรับลดย่อมแย่กว่าการปรับขึ้นอย่างชัดเจน โดยมูดี้ส์เป็นองค์กรที่ประเมินขีดความสามารถของแต่ละประเทศ และได้มีการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือไทยเป็นเชิงลบ โดยย่อมส่งผลต่อความเชื่อมั่นไม่มากก็น้อย ซึ่งในมุมมองของภาคเอกชนรู้อยู่ก่อนแล้วว่า เศรษฐกิจไทยยังไม่ดี ไม่ได้รู้สึกแปลกใจ เพราะสิ่งที่ได้รับการประเมินออกมาตรงกับหลายสิ่งที่พอจะรับรู้ปัญหา และรัฐบาลพยายามที่จะแก้ไข เพียงแต่อาจจะยังทำได้ไม่ดีพอ
“ไทยยังแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจได้ไม่ดีพอ ซึ่งไทยเองก็รับรู้ถึงปัญหา สิ่งที่ต้องการจะบอกก็คือ เมื่อมูดี้ส์มีการปรับลดลงได้ หากไทยสามารถแก้ปัญหาได้ มูดี้ส์ก็อาจจะปรับให้กลายเป็นบวกได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น เมื่อมีการส่งสัญญาณเตือนออกมาถึงประเทศไทย ก็ต้องเร่งแก้ไขปัญหาให้ได้ เพื่อที่การประเมินครั้งต่อไป ไทยอาจจะได้รับการปรับเครดิตขึ้นมาอยู่ที่ระดับเดิม หรือดีขึ้นกว่าเดิมก็ได้”
อย่างไรก็ตาม ไทยควรเร่งปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจอย่างจริงจัง โดยที่ผ่านมาถือว่ายังทำได้ไม่เร็วเท่าที่ควร จึงเป็นสิ่งที่มูดี้ส์มองเห็นปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข จึงปรับเครดิตเป็นเชิงลบ จึงต้องเร่งแก้ปัญหาอย่างจริงจัง เนื่องจากมีปัญหาหลายอย่างที่ยังสะสม และค้างคาอยู่ รวมถึงปัญหาโครงสร้างใหญ่ โดยการปรับโครงสร้างทุกอย่างต้องรีบดำเนินการ เพื่อให้ขีดความสามารถแข่งขันเพิ่มขึ้น
การคลังเสี่ยงวิกฤติ
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือแบงก์ชาติ ถือเป็นหน่วยงานเศรษฐกิจโดยตรงของไทย ยังแสดงความเป็นห่วงผ่านการปรับลดการขยายตัวเศรษฐกิจหรือจีดีพี จากเดิม 2.9% เหลือเป็น 2% ในปี 68 นี้ เพราะสงครามการค้ามีผลกระทบมากต่อไทย และยิ่งไปกว่านั้นหากมีความยืดเยื้อรุนแรงมาก อาจลดต่ำลงเหลือเพียง 1.3% เท่านั้น และในปี 69 อาจร่วงไปจนเหลือแค่ 1% ซึ่งถือเป็นความเปราะบางของเศรษฐกิจไทยอย่างแท้จริง
สิ่งสำคัญของไทยในเวลานี้ คือ รัฐบาลที่นำโดย
แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ต้องเร่งปรับ
เร่งแก้ในเรื่องนี้ได้อย่างไร เพราะช่วงเวลาที่ผ่านมาการบริหารประเทศยังไม่เป็นที่ประจักษ์ และการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการแจกเงิน ยังไม่อาจทำให้การบูสท์เศรษฐกิจเกิดขึ้นได้จริงและยังไม่เห็นผล และตามมาด้วยภาระหนี้ภาครัฐได้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
จากการพยายามใช้เงินเพื่อมาแจกเงิน หวังกระตุ้นการใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลแพทองธาร เป็นการเดิมพันประเทศไทยว่า เศรษฐกิจไทยจะอยู่ตรงไหน และหากรัฐบาลยังมีแผนกู้เงินเพื่อมากระตุ้นต่อ อาจต้องเจอกับเครดิตเรตติ้งที่ลดลง ซึ่งสิ่งจำเป็นจริง ๆ คือต้องเร่งเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน เพิ่มรายได้ และกระตุ้นการลงทุน เป็นจุดที่ไทยยังขาด แทนการกระตุ้นด้วยการแจกเงิน นั่นอาจเพิ่มภาระทางการคลังให้เสี่ยงที่จะวิกฤติไปมากกว่าเดิม.