กรณีบริษัทฯ นำรถกระบะที่ผ่อนหมดนานแล้วเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทฯ เข้าลิสซิ่ง เมื่อปลายปี พ.. 2566 เพื่อนำเงินที่ได้มาใช้หมุนเวียนในบริษัทฯ นั้น

ในทางหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป เข้าลักษณะเป็น การขายและเช่ากลับ (Sale & Lease back) หมายถึง การขายทรัพย์สินให้กับบริษัทไฟแนนซ์ และได้มีการเช่ากลับโดยทันทีเพื่อใช้งานของบริษัท

ตามมาตรฐานบัญชีฉบับที่ 17 นั้น การรับรู้กำไร (ขาดทุน) จากการขายทรัพย์สิน จะขึ้นอยู่กับชนิดของสัญญาเช่ากลับ

กรณีการขายและเช่ากลับ (Sale & Lease back) นั้น ในทางภาษีอากรพิจารณาตามรูปแบบของกิจกรรมที่เกิดขึ้น กล่าวคือ ให้แยกกิจกรรมออกเป็นสองส่วน คือ

การขายทรัพย์สิน ซึ่งตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร ถือเป็นรายได้เนื่องจากกิจการ บริษัทฯ ต้องรับรู้กำไร (ขาดทุน) จากการขายทรัพย์สิน

ในวันที่บริษัทฯ ได้ขายทรัพย์สินนั้นให้แก่บริษัทไฟแนนซ์ แม้จะมีการเช่ากลับในทันทีก็ตาม (ก็แล้วทำไมไม่ทำสัญญากู้ยืมเงินระหว่างกันเสียเล่า จะได้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง และตรงกับการปฏิบัติทางภาษีอากร)

วิธีการคำนวณกำไร (ขาดทุน) ให้บริษัทฯ นำมูลค่าทางบัญชีของทรัพย์สินรายการที่ได้ทำการขายและเช่ากลับ อันเป็นมูลค่าสุทธิภายหลังการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคา

แล้วนำมาเปรียบเทียบกับราคาขายทรัพย์สินนั้นให้แก่บริษัทไฟแนนซ์ ซึ่งเป็นวิธีการที่ได้สอดคล้องกับการเช่ากลับคืนแบบสัญญาเช่าดำเนินการ

ขณะเดียวกันพึงต้องระวังในประเด็นเรื่อง “ราคาตลาด” ตามมาตรา 65 ทวิ (4) แห่งประมวลรัษฎากร ด้วย

โดยหากราคาขายทรัพย์สินนั้น มีผลตอบแทน ต่ำกว่าราคาตลาด โดยไม่มีเหตุอันสมควร เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินผลตอบแทนให้เป็นไปตามราคาของตลาดได้ ดังนั้นจึงต้องดูรายละเอียดนี้ให้ดี.