จำได้ว่า ในสมัยรัฐบาลปู น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกฯ สภาเคยอนุมัติเงินซื้อนาฬิกาดิจิทัลแพงเรือนละเป็นแสนติดทั่วสภา ที่ไม่ใช่สัปปายะสภาสถานอันกว้างใหญ่เดินหลงไปหลงมาเหมือนวันนี้  ตอนนั้นก็อ้างความจำเป็นโน่นนี่ว่าต้องใช้นาฬิกาแพงส่งเสียงเรียก สส.เข้ามาประชุม หรือมาโหวต ซึ่งเอาจริง สภาเก่าเล็กแค่นั้น ถ้าจะถึงวาระโหวต เพื่อน สส.ก็โทรหากันได้ไม่ต้องให้นาฬิการ้องลั่นๆ  ซึ่ง สส.ก็ไม่ได้ชิ่งห้องประชุมไปไหนไกลหรอก สภาเก่ามีแค่ 3 ตึกกับ 1 สโมสร ที่ไม่อยู่ในห้องประชุมกันก็อาจไปประชุมกรรมาธิการอยู่ หรือนั่งอยู่ในโซนพัก สส.ชั้นสอง

สุดท้ายก็ไม่รู้ว่า นาฬิกาเหล่านั้นถูกเอาไปใช้ที่สัปปายะสภาถานหรือไม่  ปีนี้เรื่อง สส.ไปดูงานเมืองนอกไม่ค่อยถูกยกขึ้นมาตีให้ดังนัก ไม่รู้ว่า เบื่อกันไปเองเพราะห้ามไม่ได้ หรือว่า มีเรื่องอื่นน่าสนใจกว่า สำหรับอาคารสัปปายะสภาสถาน ก็มีเรื่องอยู่ๆ จะขอใช้งบปรับปรุงอาคารที่ใช้มาราว 6 ปี ( ใช้ไปพลางบางส่วน เพิ่งส่งมอบจากผู้รับเหมาเมื่อกลางปี พ.ศ.2567 )  แต่คนของบเขาว่าไม่ใช่ปรับปรุง มันเป็นการต่อเติมให้สมบูรณ์ ฟังดูก็งงๆ ไม่ทราบว่า ตอนสร้างทำสัญญากันอย่างไร พอส่งมอบงานเสร็จถึงต้องให้มาต่อเติมกันอีก แถมก็ต้องปรับปรุงเรื่อยๆ เพราะมีข่าวออกมาบ่อยๆ ว่า สภาหมื่นล้านน้ำรั่วซึม หรืออยู่ๆ ห้องเหม็นเน่าเพราะน้ำซมพรมขังอยู่นาน

คนเปิดเรื่องงบปรับปรุงสภา คือ “สส.ต้า”ภัณฑิล น่วมเจิม  สส.กทม. พรรคประชาชน (ปชน.)  บอกว่า งบประมาณปรับปรุงพื้นที่ต่าง ๆ ของรัฐสภาหลายรายการมูลค่า 956 ล้านบาท  ซึ่งมองว่าเป็นการผลาญงบประมาณ  พื้นที่อาคารรัฐสภาหลายส่วน ที่ผ่านมายังไม่เคยมีการใช้ประโยชน์ อย่าง ศาลาแก้ว เท่าที่จำได้เคยใช้เป็นสถานที่ทำกิจกรรมบุญตักบาตรเพียงแค่ 1 ครั้ง แต่จะใช้งบปรับปรุงถึง 122 ล้านบาท และไม่สามารถชี้แจงรายละเอียดได้ว่า จะปรับปรุงอย่างไรบ้าง

สระมรกตที่เดิมสร้างขึ้นมา เพื่อให้ความเย็นแก่อาคารรัฐสภา แต่จะปรับเป็นห้องสมุด และห้องรับรอง โดยเปิดให้ประชาชนเข้ามาใช้บริการได้  เห็นว่ายังมีห้องว่างจำนวนมากที่ไม่เคยถูกใช้งาน ถูกปล่อยทิ้งร้างมาเป็นเวลานาน แต่เปิดแอร์ทิ้งไว้ เสมือนฉีกแบงก์เล่น ทำไมถึงไม่ไปใช้งานพื้นที่ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดก่อน เพราะเงินเกือบ 1,000 ล้านบาทนี้ สามารถนำไปใช้ทำอย่างอื่นได้  อยากให้ฝ่ายอาคารและสถานที่ เชิญผู้ออกแบบอาคารรัฐสภาคนเก่ามาให้ข้อมูล ว่า ที่ออกแบบและก่อสร้างพื้นที่ส่วนต่าง ๆ เอาไว้นั้น ต้องการให้ใช้ประโยชน์อย่างไร  เพิ่งส่งมอบงานกันแล้วของบอีก 

ทิวากร สุระชน รองเลขาธิการ และรองโฆษกพรรคไทยสร้างไทย ( ทสท.) กล่าวว่า สภาของบปรับปรุงร่วมพันล้าน ทั้งที่เพิ่งสร้างเสร็จไม่ถึง 6 ปี อาคารจอดรถใหม่ 1,529 ล้านบาท ตกแต่งฉากหลังบัลลังก์ 133 ล้านบาท โรงหนัง 4D (4ดี) กลางรัฐสภา 180 ล้านบาท ประชาชนได้อะไรจากสิ่งเหล่านี้ ส่วน “ไอติม”พริษฐ์ วัชรสินธุ ประธาน กมธ.พัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน  สภาผู้แทนราษฎร จะเชิญผู้บริหารของสำนักงานสภาฯ ให้เข้ามาชี้แจงรายละเอียดอีกครั้ง ในวันพฤหัสบดี ที่ 8 พ.ค.

ฝ่ายที่อยากตรวจสอบก็เดินหน้าไป  ฝ่ายที่เสนอขอก็บอกให้ใจร่มๆ กันก่อน เพราะนี่ยังเป็นตัวเลขเบื้องต้น ต้องให้สำนักงบประมาณตัดออกอีก  แล้วพอเข้าสู่กระบวนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2569  ชั้นกรรมาธิการก็ตัดกันอีก ก็ไม่รู้ว่าจะตัดไปแค่ไหน อาจตัดไม่เยอะกันเหนียม แล้วค่อยไปขอปีหน้าเอา

นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร  ยืนยันว่า  นี่คือการเพิ่มเติมสิ่งที่มีอยู่แล้วให้สมบูรณ์ เช่น ห้องประชุมชั้นบี 2 ที่สร้างเสร็จแล้วจุได้ 1,500 คนแต่ไม่มีโต๊ะเก้าอี้ ไม่มีเวทีการประชุม ไม่มีจอ ไม่มีเครื่องเสียง รวมถึงไฟไม่สว่าง  กมธ.กิจการสภาผู้แทนราษฎร ผู้บริหารสภา เห็นว่าควรจะทำให้สมบูรณ์ เพื่อให้ประโยชน์ให้เต็มที่ ก่อนหน้านี้เราทำงานมา 5-6 ปี ไม่มีใครกล้าไปทำ เพราะยังไม่มีการส่งมอบการก่อสร้างอาคารฯ เกรงว่าจะเป็นปัญหา นอกจากนี้ยังมีห้องประชุมชั้นบี 1 ที่เป็นในลักษณะเดียวกันอีกด้วย ก็ต้องทำให้สมบูรณ์     

 ส่วนราคาจะถูกจะแพง ขึ้นอยู่กับระเบียบกฎหมายว่าด้วยราคากลางที่มีกำหนดอยู่  ขอย้ำว่าทุกอย่างต้องโปร่งใส  ถูกต้อง สมบูรณ์ มีศักดิ์ศรี เมื่อประชาชนเข้ามาจะได้เห็นว่าสภาเป็นสถาบันที่สง่างาม มีศักดิ์ศรีเป็นเกียรติเป็นศรีต่อผู้ที่มาใช้ไม่ใช่แค่ สส. แต่ประชาชน นักเรียน นักศึกษาเข้ามาใช้ได้ รวมถึงผู้นำ ทูตต่างประเทศที่เข้ามาเยี่ยมชมสภา เราจึงอยากให้ทำอะไรให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ไม่ใช่ทำอะไรแค่พอเสร็จ ต้องทำให้เกิดความภาคภูมิใจในสถาบันนิติบัญญัติของชาติ 

ศาลาแก้ว ยังไม่ได้ใช้งาน ก็ยังไม่ทราบว่าสร้างไว้ทำไม เพราะดูอาคารรัฐสภากับศาลาแก้วไม่รู้ว่าสัมพันธ์กันอย่างไร แต่เมื่อสร้างเสร็จและตรงนั้นก็เป็นลานสำหรับที่ประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 7 ส่วนศาลาแก้วอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ 2 ข้าง เมื่อมีพิธีต่างๆอาจต้องใช้ศาลาแก้ว จึงมีงบเข้าไปปรับปรุง

ขนาดประธานรัฐสภา ยังไม่ทราบว่า ศาลาแก้วดังกล่าวมีไว้ทำไม ? ประชาชนคงยิ่งไม่ทราบ เมื่อไปดูรูปตัวศาลาก็ต้องบอก “ใครมันจะไปใช้” มันก็คล้ายๆ ศาลาทรงไทยหลังใหญ่ๆ อยู่ชั้นลอยของอาคารรัฐสภา ..ที่ไม่ทราบว่าจะใช้ยังไง เพราะหลังคามันเป็นแก้ว แดดส่องทะลุ กลางวันก็ร้อนไม่ต้องอยู่กัน มีข้อเสนอปรับปรุงให้ปรับเปลี่ยนเป็นอาคารปิด เพื่อเปิดแอร์รับแขกต่างประเทศได้ ก็ต้องบอก HELLO!!! ใครจะขึ้นมานี่กับพวกยู กลางวันมีแดด อยู่ในห้องแอร์ที่แดดส่องคงแปลกๆ …แต้ถ้าจะปรับปรุงให้เป็นหลังคาอย่างอื่นที่ไม่ใช่แก้ว ก็อาจประจานความ..อะไรสักอย่าง..ของผู้เสนอ ผู้ตรวจรับแบบ ว่า ตอนอนุมัติสร้างคิดอะไรอยู่ หรือมโนเอาว่าสวย พอ จบ

“รองแบต”ภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 รับผิดชอบ  3 โครงการ คือ โครงการปรับปรุงห้องสมุด โครงการปรับปรุงพิพิธภัณฑ์รัฐสภา งบประมาณ 120 ล้านบาท และโครงการปรับปรุงระบบเสียงห้องประชุมจำนวน 1,500 ที่นั่ง งบประมาณ 99 ล้านบาท  

รองแลตยืนยันว่าทุกการใช้งบประมาณจะคุ้มค่ากับเงินภาษีของประชาชน ( แหงล่ะ ของบไปแล้วใครจะด่าให้เข้าตัว )   เขาจะกำกับดูแลทุกขั้นตอนด้วยตัวเอง ในส่วนของพิพิธภัณฑ์รัฐสภา มีความตั้งใจที่จะทำให้เป็นพื้นที่บอกเล่าเรื่องราวประวัติความเป็นมาของอาคารรัฐสภา และให้ประชาชนเข้ามาศึกษาเรียนรู้ได้ ซึ่งส่วนตัวมองว่า มีความจำเป็น เพราะขณะนี้ มีพื้นที่ว่างไว้จัดทำแล้ว 5,000 – 6,000 ตร.ม. แต่!!! มันมีห้องพิพิธภัณฑ์อื่นในสภาแล้ว ก็ปรับปรุงให้ประชาชนเข้าใช้งานได้จริงไม่ได้หรือ หรือไม่เป็นเกียรติเป็นศรีพอ

ส่วนห้องประชุม 1,500 ที่นั่ง ที่ชั้น B2 มีความตั้งใจจะจัดทำเป็นห้องอบรมสัมมนาสำหรับกรรมาธิการทุกคณะของทั้ง 2 สภา  เป็นแผนเดิม ที่ต้องมีตั้งแต่ก่อสร้างรัฐสภาแล้วแต่ยังไม่ได้ดำเนินการ จึงต้องของบประมาณมาจัดทำให้แล้วเสร็จ ดีกว่าปล่อยให้เป็นห้องร้าง  และยังเป็นการลดค่าใช้จ่ายของ กมธ.ด้วย เนื่องจากที่ผ่านมา กมธ.เสียเงินไปเช่าพื้นที่โรงแรมในการจัดอบรมสัมมนา ซึ่งงบประมาณที่จะใช้จัดทำ ก็ปรับลดลงมาเหลือ 99 ล้านบาท

อันนี้ถ้าเป็นสภาแห่งเก่าก็น่าเห็นใจ เพราะมันแคบจริงๆ ตึก กมธ 5-6 ชั้นกับตึกวุฒิสภา กมธ.จะใช้ห้องก็ต้องแย่งกัน พอทำใหม่แล้วก็… “ทำไมไม่ทำห้องประชุม กมธ.ให้รองรับพอกับความต้องการในครั้งเดียวล่ะ ?” พื้นที่สภามีเป็นแสนตารางเมตร ทำไมไม่ทำให้เสร็จทีเดียวก่อนรับมอบงาน   

นายอลงกต วรกี สว. ประธาน กมธ.ติดตาม การบริหารงบประมาณ วุฒิสภา มีความเห็นต่อศาลาแก้วว่า  ควรจะเอาศาลานี้ทิ้งใช่หรือไม่ หรือจะให้หลังคานี้มีโครงสร้างทึบ เพื่อให้ไม่ร้อน และสามารถใช้งานได้ หากปรับเปลี่ยนให้สามารถใช้งานได้ ก็คิดว่าคงใช้งบไม่ถึง 100 ล้านบาท  

“ส่วนเรื่องงบเรียนภาษาจีนของ สว. กว่า 2 ล้านบาทนั้น ยืนยันว่าไม่ได้เป็นงบที่ไปดูงาน โครงการนี้มี สว. มาเรียนเกือบ 50 คน อาจจะเป็นเรื่องค่าน้ำชา กาแฟ และค่าวิทยากร แต่การไปดูงานที่ประเทศจีนไม่ได้ไปทุกคน ไปเพียงผู้ที่มีเกณฑ์การเรียนดี 10  คนเท่านั้น รวมทั้งผมด้วย ซึ่งรัฐบาลจีนเชิญผ่านสถาบันขงจื๊อให้ไปดูงาน ออกค่าที่พัก ค่าอาหารให้ แต่ สว.ต้องเสียค่าเครื่องบินเอง  กำลังตรวจสอบว่า ทำไมใช้งบเยอะ ที่จำได้เราเรียนประมาณ 3-4 เดือน เดาว่าน่าจะเป็นค่าวิทยากร สว. ที่เรียนภาษาจีนตอนแรกมี 50 คน เรียนไปเรียนมาเหลือ 20 คน”นายอลงกต กล่าว

ปัญหาคือ ใครจัดงบให้เรียนตอนต้น ? จัดไปแล้วทำไมไม่มีสภาพบังคับให้เรียนต้องให้จบคอร์ส ? ปล่อยไปได้อย่างไรตั้ง 30 กว่าคนที่เรียนๆหยุดๆ  เรียนภาษาจีน 3-4 เดือน ไม่ทราบเรียนให้ได้อะไร ?  ส่วนนายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ สว. แถลงว่า เรื่องโครงการพัฒนาทักษะภาษาจีนสำหรับ สว. มีมาตั้งแต่ปี 2549 แล้ว เป็นการส่งเสริมบทบาทของรัฐสภาไทยในเวทีระหว่างประเทศ  ปีนี้เรามีความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนมาครบ 50 ปี ซึ่งจากการสอบถามจากสำนักงบประมาณแล้วว่าใช้เงินจำนวน 5 หมื่นบาท 15 ครั้ง ซึ่งมีทั้ง สว.สส.และข้าราชการ  

ก็ยังสงสัยว่า อบรม 15 ครั้ง ครั้งละ 5 หมื่นบาท จะได้ภาษากันกี่มากกี่น้อยเชียว ?

นายพิสิษฐ์ กล่าวต่อว่า ส่วนการจัดสรรงบประมาณสำหรับเบี้ยประชุม กมธ.วิสามัญพิทักษ์และเทิดทูนสถาบันฯ  ที่จัดสรรงบประมาณสำหรับเบี้ยประชุมสัปดาห์ละ 1 วัน จำนวนทั้งหมด 52 สัปดาห์ใน 1 ปี ถ้าไม่มีประชุมก็ไม่ต้องเบิกเบี้ยประชุม เช่นเดียวกับ กมธ.สามัญทั่วไป จึงไม่ทราบว่าคนที่ออกมาพูดมีเจตนาอะไร เหตุใด สว.ถึงตกเป็นจำเลยของสังคมวันแล้ววันเล่าไม่จบไม่สิ้นสักที ขอย้ำวุฒิสภาไม่มีสิทธิ์อนุมัติงบประมาณใดๆทั้งสิ้น

เรื่องนี้ก็คงยังไม่จบ จนกว่าจะพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 และเมื่อ“เปิดแล้วดัง” เชื่อว่า ฝ่ายค้านน่าจะตีขย่มเรื่อยๆ เพราะผู้รับข่าวสารจะรู้สึกเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวเองมากถ้ามีคำว่า “ภาษีประชาชน”  หลายคนก็อยากเห็นการใช้ที่คุ้มค่า เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ..กรณีของหรูที่จะซื้อประดับสำนักงาน สตง.ที่โดนแผ่นดินไหวถล่มป่น ( จากสภาพต้องเรียกว่า ป่น จริงๆ ) ก็ทำให้หลายคนซี๊ดดดดปากกันแล้วว่า “เขาใช้เงินกันสุรุ่ยสุร่ายงั้นเชียว” ยิ่ง สตง.ยิ่งน่าหมั่นไส้เพราะชอบบอกให้หน่วยงานอื่นมัธยัสถ์ แต่ตัวเองซื้อของแพง

ก็เข้าใจว่า  มันมีเรทสำหรับระดับผู้บริหารซื้อของ เพื่อเป็นหน้าเป็นตาเป็นเกียรติเป็นศรี ซึ่งก็หวังว่า ต่อไปคนใหญ่คนโตจะเก็บศักดิ์ศรีที่ลอยติดเพดานลงมาแล้วซื้อของที่เป็นเงินแผ่นดินให้คุ้มค่า ..อย่างสภาที่ตั้งงบต่อเติมเป็นพันล้าน  พอเห็นที่ประธานสภาพูดว่า “เมื่อประชาชนเข้ามาจะได้เห็นว่าสภาเป็นสถาบันที่สง่างาม มีศักดิ์ศรีเป็นเกียรติเป็นศรีต่อผู้ที่มาใช้ไม่ใช่แค่ สส. แต่ประชาชน นักเรียน นักศึกษาเข้ามาใช้ได้ รวมถึงผู้นำ ทูตต่างประเทศที่เข้ามาเยี่ยมชมสภา เราจึงอยากให้ทำอะไรให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ไม่ แค่พอเสร็จ ต้องทำให้เกิดความภาคภูมิใจในสถาบันนิติบัญญัติของชาติ”

ไอ้การที่หางบมาต่อเติมเรื่อยๆ อ้างความจำเป็นน่ะพูดอย่างไรก็ได้  แต่พฤติกรรมของท่านผู้ทรงเกียรติจำนวนมากก็ชวนให้บึนปากใส่ สถานที่จะช่วยให้เกิดความรู้สึกเป็นเกียรติเป็นศรีได้หรือไม่ ? ซึ่งก็คงได้ระดับหนึ่งแหละ  หลายๆ คนก็ชอบอะไรที่ฉากหน้ามันสวย แต่ในขณะที่เศรษฐกิจเป็นแบบนี้  ขนาดรัฐบาลยังบ่น อะไรที่ไม่ได้รีบใช้ก็ตัดออกไปก่อนเถอะ ขนาดแจกหมื่นเฟสสามยังยึกยักๆ ขอฟังความเห็นอีกรอบ ว่า ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจหรือไม่ ฝ่ายสภาก็ควรหันมาดูว่า ไอ้ที่มีอยู่ หรือเท่าที่มีอยู่วันนี้ มันพอทำงานหรือไม่

อย่าเพิ่งเอาเงินไปเติมเปลือก ไปย้อมสีอะไร ถ้ามันมีอย่างอื่นจำเป็นกว่า.

………………………………………………………
คอลัมน์ : ที่เห็นและเป็นอยู่
โดย “บุหงาตันหยง”

คลิกอ่านบทความทั้งหมดได้ที่นี่