การร่ำลือถึงเสียงในคลิปดังกล่าวว่าอาจเป็น “เสียงเปรต” นั้น เอาเข้าจริงมีการพิสูจน์ได้หรือไม่? อย่างไรแน่? ก็ว่ากันไป ที่แน่ ๆ คือจากคลิปดังกล่าวไม่เพียงเป็นกระแสไวรัล แต่ยังสะท้อนให้เห็น “มุมความเชื่อ” เกี่ยวกับ “เรื่องเร้นลับ” หรือ “เรื่องผี”

สังคมไทยยุคดิจิทัล “ยังมีความเชื่อนี้”

ผีเปรต” นี่ก็ “ยังเป็นผีที่หลอนอมตะ”

กับการพิสูจน์-ไม่พิสูจน์ “เสียงลึกลับ” ที่เป็นกระแสดังกล่าวนั้น ก็เป็นเรื่องของผู้ที่สนใจ-ไม่สนใจ…ก็ว่ากันไป อย่างไรก็ตาม แต่หากจะว่ากันด้วย “ที่มา” เกี่ยวกับ “ผีเปรต” แล้วล่ะก็…กรณีนี้ก็มีข้อมูล “น่าคิด-น่าพิจารณา” ในบทความที่ทาง “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” จะสะท้อนต่อข้อมูล ณ ที่นี้ นั่นคือบทความโดย สนิท ไชยวงศ์คต ในฐานะที่ปรึกษาอธิการบดีด้านการบริหาร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งเป็นบทความที่ได้อธิบายเกี่ยวกับเรื่อง “เปรต” ไว้น่าสนใจ…

ในบทความดังกล่าวทางผู้เขียนระบุไว้ว่า… คำว่า “เปรต” มีหลายความหมาย อาทิ ใช้เพื่อพูดถึง “ผู้ที่ละโลกนี้ไปแล้ว หรือคนที่ตายไปแล้ว” ก็ได้หรือบางครั้งอาจหมายถึง “สัตว์จำพวกหนึ่งซึ่งเกิดใน “อบายชั้น” ที่เรียกว่า “ปิตตวิสัย” หรือ “เปตติวิสัย” ซึ่งหมายถึง “ดินแดนของเปรต” ที่เป็นแดนแห่งความทุกข์ทรมาน …นี่เป็นความหมายแรก ๆ ของ “เปรต”

นอกจากนี้ ความหมายอื่นของคำว่า “เปรต” นั้น… บางทีก็อาจใช้พูดถึง “ผีเลวพวกหนึ่ง”ที่มี รูปร่างสูงเท่าต้นตาล กินแต่เลือดกับหนองเป็นอาหาร และมักร้องเสียงดังวี๊ด ๆ ตอนกลางคืน…ลักษณะนี้นี่หลายคนน่าจะมีภาพจำและกับอีกนัยหนึ่ง “เปรต” ตรงกับคำภาษาบาลีว่า “เปตะ” ซึ่งแปลได้ 2 ความหมาย ความหมายแรกแปลว่า ผู้ละไปแล้ว หรือผู้ที่ตายจากโลกนี้ไปแล้ว หมายถึง ดวงวิญญาณบรรพบุรุษ วิญญาณผู้ที่ตายไปแล้ว ดังคำในประโยคที่ใช้ทำบุญอุทิศส่วนกุศล ซึ่งมีคำว่า “เปตชน” อยู่ด้วย โดยในที่นี้หมายถึงญาติที่ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งอาจไปผุดไปเกิดแล้ว หรือยังไม่ได้ไปผุดไปเกิดก็ตาม

ขณะที่อีกความหมาย “เปรต” ในความหมายนี้หมายถึง ผู้ห่างไกลจากความสุขหมายถึง ปิศาจจำพวกหนึ่งที่เคย “ก่ออกุศลกรรม” ไว้ และ “ต้องรับใช้ผลกรรมนั้นอย่างทุกข์ทรมาน”โดยเปรตแต่ละตนจะมีรูปร่างหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว และเสวยผลกรรมในลักษณะที่แตกต่างกันไป ขึ้นกับกรรมที่ตนเองได้ทำไว้เมื่อครั้งก่อนที่จะเสียชีวิตและตายไปเป็นเปรต

ส่วนเรื่อง “ภูมิของเปรต” ในบทความเดิมยังระบุไว้ว่า… ในพระพุทธศาสนาจัดภพภูมิที่สรรพสัตว์ผู้ยังมีกิเลสจะต้องเวียนว่ายตายเกิดไว้ 31 ภพภูมิ เรียกว่า “วัฏสงสาร 31 ภูมิ” โดยวัฏสงสารนี้ยังแบ่งออกเป็นระดับต่าง ๆ 3 ระดับ คือ กามาวจรภูมิ, รูปาวจรภูมิ, อรูปาวจรภูมิ ขณะที่ “ผีเปรต” จะอยู่ใน “อบายภูมิ” ซึ่งเป็น ภพภูมิสำหรับลงโทษผู้ที่ทำบาป เป็นอันดับ 2 รองจากนรก โดยอบายภูมิเป็น 1 ใน 11 ภูมิของระดับกามาวจรภูมิ ที่หมายถึงภูมิของผู้ยังแสวงหาความสุขจากกามคุณ 5

ภูมิของเปรตเป็นสถานที่สำหรับลงโทษผู้ที่กระทำบาปให้ได้รับความทุกข์ทรมานอยู่ตลอดเวลา โดยไม่มีผ่อนหนักผ่อนเบา และไม่มีหยุดพักแม้เสี้ยววินาที ส่วนผู้ที่เกิดในภูมิเปรตนั้นแม้ต้องรับกรรมเช่นเดียวกับสัตว์นรก แต่ก็มีผ่อนหนักผ่อนเบาบ้างบางครั้ง เช่น เปรตปากเท่ารูเข็ม จะมีการผ่อนปรนให้หากินประทังความหิวได้ แต่สุดท้ายก็ยังต้องทุกข์ทรมานเป็นร้อยเป็นพันปีหรือมากกว่านั้นอยู่ดี”…เป็นข้อมูลคำอธิบายเกี่ยวกับ “ภูมิของเปรต”

สำหรับ“ประเภทเปรต” ในบทความโดย สนิท ไชยวงศ์คต ระบุไว้ว่า… จำแนกเป็น 2 แบบ คือ แบบแรก “ตามที่มา” มี 2 ประเภทดังนี้ 1.เปรตที่ไปจากโลกมนุษย์ เช่น เปรตที่ทำกรรมไม่หนักถึงขั้นไปรับโทษในนรก ซึ่งพอตายก็จะเกิดเป็นเปรตเพื่อชดใช้กรรมทันที โดยไม่ต้องลงนรกก่อน 2.เปรตที่มาจากนรก ได้แก่ ผู้ทำกรรมหนักตอนมีชีวิตที่หลังตายแล้วก็ชดใช้กรรมในนรกขุมต่าง ๆ ตามน้ำหนักกรรม จนเมื่อใช้หมดก็ยังพบว่ามีเศษกรรมอยู่ ก็จะเกิดเป็นเปรตเพื่อชดใช้เศษกรรมที่เหลือ

แบบที่สอง “ตามลักษณะการเสวยผลกรรม” มี 5 ประเภท คือ 1.ขุปปิปาสิกเปรต หรือ “เปรตหิวกระหาย” เป็นเปรตรูปร่างผอมโซและเที่ยวหาของกินตามที่ต่าง ๆ แต่ไม่พบสิ่งเป็นอาหารได้ เพราะผลกรรมจากความตระหนี่ถี่เหนียวในทรัพย์ของตนจนไม่เคยทำบุญทำทาน หรือทำก็ทำด้วยความเสียดาย 2.วันตาสเปรต หรือ“เปรตกินของสกปรก” ได้แก่ เปรตที่อยู่ด้วยการกินของสกปรกเป็นอาหาร เพราะผลกรรมจากการพูดจาไม่ดี โกหก สบถสาบาน พูดคำหยาบ ดูหมิ่นผู้มีพระคุณ ผู้ทรงศีล 3.ปรทัตตูปชีวีเปรต หรือ “เปรตขอส่วนบุญ”เป็นเปรตหิวโหย แต่กินอาหารอื่นไม่ได้นอกจากขอส่วนบุญจากญาติที่อุทิศให้ ซึ่งเปรตพวกนี้โทษเบาบาง เพราะไม่ได้สร้างเวรกรรมที่หนัก เปรียบเหมือนนักโทษคดีไม่รุนแรงและพร้อมให้ญาติประกันตัว

4.ณิชฌามตัณหิกเปรต หรือ “เปรตไฟเผา” เป็นเปรตที่เสวยผลกรรมโดยถูกไฟเผาร่างกาย ที่เป็นผลกรรมจากการใช้ไฟเผาทรัพย์สินหรือใช้ไฟทำร้ายผู้อื่น 5.เวมานิกเปรต หรือ “เปรตมีวิมาน” เปรตที่มีวิมานหรือที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ซึ่งเปรตพวกนี้เคยเป็นอุบาสิการักษาศีลอุโบสถ แต่เล่นชู้นอกใจสามี เมื่อตายไปเกิดเป็นเปรตยังมีร่างกายสวยงาม ได้อยู่ในวิมาน แต่พอกลางคืนต้องลงจากวิมานให้สุนัขรุมกัด ด้วยกรรมเล่นชู้และโกหกสามี …ทั้งนี้ เหล่านี้เป็นข้อมูล “เปรต” ที่รวม 2 แบบก็ 7 ชนิด

อีก “ความเชื่อเรื่องผีที่โยงบาปกรรม”

ที่ “ยุคนี้มักออกแนวเรื่องชวนขนลุก”

โดย “ที่มาของเปรตเลือน ๆ ไป??”.

ทีมสกู๊ปเดลินิวส์