ชวนสงสัย… ทำไม “มะเร็งปอด” โรคร้ายที่มักถูกโยงกับการสูบบุหรี่ กลับพบมากขึ้นใน ผู้หญิงที่ไม่เคยสูบบุหรี่? วันนี้ Healthy Clean จะมาไขข้อข้องใจนี้ให้คุณ!

หลายคนตั้งคำถามว่า เหตุใด ผู้หญิงที่ไม่เคยสูบบุหรี่ กลับกลายเป็นกลุ่มที่ถูกตรวจพบว่าเป็น มะเร็งปอด มากขึ้นเรื่อย ๆ วันนี้เรามีคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญมาอธิบายให้เข้าใจกันค่ะ

ผศ.นพ.ศิระ เลาหทัย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญศัลยศาสตร์ทรวงอกเฉพาะทางด้านการผ่าตัดส่องกล้องในช่องทรวงอก โรงพยาบาลวชิรพยาบาล เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจว่า จากสถิติของ สมาคมปอดนานาชาติ (The International Association for the Study of Lung Cancer) พบว่า จำนวนผู้ป่วยมะเร็งปอดที่ได้รับการวินิจฉัยโดยรวมมีแนวโน้มลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากการลดลงของผู้ที่สูบบุหรี่ แต่สิ่งที่น่าจับตามองคือ รายงานการศึกษาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พบว่า อัตราการเกิดมะเร็งปอดในผู้หญิงอายุระหว่าง 35 ถึง 54 ปี กลับพบได้บ่อยกว่าในผู้ชายที่มีอายุเท่ากัน

“ถึงแม้เราจะยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น แต่มีทฤษฎีที่น่าสนใจว่า อาจเป็นเพราะ ผู้หญิงเผาผลาญสารก่อมะเร็งในควันบุหรี่แตกต่างจากผู้ชาย หรือ ผู้หญิงอาจมีความอ่อนไหวต่อการสัมผัสกับปัจจัยแวดล้อมบางอย่างมากกว่า เช่น มลพิษทางอากาศ และ ก๊าซเรดอน ซึ่งเป็นก๊าซกัมมันตรังสีที่พบได้ตามธรรมชาติในบางพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมโยงโดยตรงนี้ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัด และยังมีอีกหลายปัจจัยที่เป็นสาเหตุของมะเร็งปอดที่เราต้องศึกษาเพิ่มเติม” ผศ.นพ.ศิระ กล่าว

ถึงแม้อัตราการเกิดมะเร็งปอดจะลดลงในทั้งชายและหญิงทุกช่วงวัย แต่การลดลงในกลุ่มผู้หญิงอายุน้อยกลับเป็นไปอย่างช้า ๆ ทำให้ปัจจุบัน มีจำนวนผู้หญิงในกลุ่มอายุนี้น้อยกว่าผู้ชายที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งปอด ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากังวล

จากข้อมูลสถิติที่น่าเชื่อถือ คาดการณ์ว่า ในปี 2573 จะมีผู้ป่วยมะเร็งปอดรายใหม่ที่เป็นผู้หญิงในประเทศไทยมากกว่า 11,200 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 35% จากจำนวนผู้ป่วยหญิงรายใหม่ในปี 2565 ที่มีจำนวน 8,300 คน การเพิ่มขึ้นนี้สะท้อนให้เห็นถึงการแพร่หลายของปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรค ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การสูบบุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือมลพิษทางอากาศเท่านั้น แต่ยังมีปัจจัยสำคัญอื่น ๆ เช่น การกลายพันธุ์ทางพันธุกรรม ที่อาจเป็นสาเหตุสำคัญของโรคนี้ได้เช่นกัน

“ยีนกลายพันธุ์” อีกหนึ่งสาเหตุสำคัญของมะเร็งปอดในผู้หญิงไม่สูบบุหรี่

งานวิจัยล่าสุดจากสมาคมปอดนานาชาติ พบว่า การกลายพันธุ์ทางพันธุกรรม อาจเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดมะเร็งปอด โดยเฉพาะ การกลายพันธุ์ในยีน EGFR (Epidermal Growth Factor Receptor) ซึ่งพบได้บ่อยในประชากรชาวเอเชีย และอาจเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งปอดโดยไม่เกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่ของผู้ป่วย

“การวิจัยระบุว่า ประมาณ 30-40% ของผู้ป่วยมะเร็งปอดในเอเชียมีการกลายพันธุ์ของยีน EGFR ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าประชากรชาวตะวันตกอย่างมีนัยสำคัญ และการกลายพันธุ์นี้มีแนวโน้มที่จะพบได้บ่อยใน ผู้ป่วยมะเร็งปอดที่ไม่เคยสูบบุหรี่ โดยเฉพาะใน ผู้หญิงชาวเอเชีย” ผศ.นพ.ศิระ อธิบาย

ผู้ป่วยมะเร็งปอดที่เกี่ยวข้องกับการกลายพันธุ์ของยีน EGFR มักไม่มีลักษณะทางประชากรศาสตร์ของผู้ป่วยมะเร็งปอด “ทั่วไป” ที่มักเกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่ เมื่อจำนวนผู้ป่วยมะเร็งปอดจากการสูบบุหรี่ลดลง สัดส่วนโดยรวมของมะเร็งปอดในผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ รวมถึงมะเร็งที่เกิดจากการกลายพันธุ์ของยีน EGFR และยีนอื่น ๆ จึงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น

อาการมะเร็งปอด… ไม่แตกต่างกันในแต่ละกลุ่ม

อาการที่พบบ่อยที่สุดของมะเร็งปอดนั้นไม่แตกต่างกันระหว่างชายและหญิง หรือตามอายุ เชื้อชาติ หรือประวัติการสูบบุหรี่ ซึ่งได้แก่ ไอเรื้อรัง ไอเป็นเลือด มีเสียงหวีดขณะหายใจ หายใจถี่ เจ็บหน้าอก เสียงแหบ และน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ

“ในปัจจุบัน สิ่งที่น่ากังวลคือ เมื่อคนอายุน้อย ผู้หญิง หรือคนที่ไม่สูบบุหรี่ มีอาการที่น่าสงสัยว่าเป็นมะเร็งปอด อาจไม่ได้ตระหนักถึงความเสี่ยงและไปพบแพทย์ช้ากว่ากลุ่มผู้สูงอายุหรือผู้ที่สูบบุหรี่” ผศ.นพ.ศิระ กล่าว

ตรวจพบเร็ว… เพิ่มโอกาสรอดชีวิตจากมะเร็งปอด

ผศ.นพ.ศิระ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ป่วยมะเร็งปอดส่วนใหญ่ยังคงถูกตรวจพบในระยะลุกลาม ทำให้การรักษามีประสิทธิภาพลดลง อย่างไรก็ตาม ข่าวดีคือ จากการศึกษาล่าสุดของสมาคมปอดนานาชาติ พบว่า อัตราการรอดชีวิตจากมะเร็งปอดมีแนวโน้มดีขึ้น เนื่องมาจากความก้าวหน้าในการตรวจวินิจฉัยและการรักษา โดยเฉพาะ ยาพุ่งเป้า (Target therapy) และ ยาภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะที่ 4 จำนวนมากมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น

“สิ่งสำคัญที่สุดในการรักษามะเร็งปอดคือ การตรวจพบโรคให้เร็วที่สุด ยิ่งพบเร็วเท่าไหร่ โอกาสในการรักษาให้หายขาดก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น อาการหลายอย่างของมะเร็งปอดอาจดูเหมือนเป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งสำคัญคือ การสังเกตความผิดปกติของร่างกายตนเอง หากรู้สึกว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาด” ผศ.นพ.ศิระ กล่าวทิ้งท้าย..

……………………………………………
คอลัมน์ : Healthy Clean
โดย “พรรณรวี พิศาภาคย์”
อ่านบทความทั้งหมดที่นี่…คลิก…