ภายหลังการสู้รบนานหลายปี ซึ่งสิ้นสุดเมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2518 สหรัฐและเวียดนามได้ฟื้นฟูความสัมพันธ์ และกลายเป็นคู่ค้าที่แข็งแกร่ง แม้ความสัมพันธ์ในปัจจุบันอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เนื่องจากมาตรการภาษีและการตัดความช่วยเหลือต่างประเทศของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ อาจส่งผลกระทบต่อโครงการที่สืบทอดมาตั้งแต่ช่วงสงคราม
ในวันนั้น รถถัง 390 เคลื่อนเข้าสู่ใจกลางของเมืองไซง่อน ซึ่งปัจจุบันคือเมืองโฮจิมินห์ แต่ในเวลานั้นเป็นศูนย์กลางของระบอบการปกครองทางตอนใต้ที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐ ระหว่างการจู่โจมการสายฟ้าแลบของกองกำลังคอมมิวนิสต์ของเวียดนามเหนือ ซึ่งลูกเรือของรถถังต้องฝ่ากระสุนปืนจำนวนมาก และขาดการติดต่อกับผูับัญชาการของพวกเขา
“ตอนนั้น ผมมองว่าทำเนียบอิสรภาพเป็นเพียงฐานทัพศัตรูอีกแห่ง และเป็นเป้าหมายที่เราต้องกำจัด” นายเหวียน วัน ตับ วัย 75 ปี กล่าวท่ามกลางต้นส้มโอ ต้นส้มจี๊ด และต้นลำไย บริเวณสวนหน้าบ้านของเขาในจังหวัดหายเซือง ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงฮานอย 70 กิโลเมตร
เนื่องจากไม่มีศัตรูยิงใส่ขณะที่รถถังผ่านประตู ตับจึงตัดสินใจออกจากรถถัง 390 หรือรถถัง ที59 ที่ผลิตในจีน และมุ่งหน้าสู่ทำเนียบประธานาธิบดีเวียดนาม แต่หลังจากเดินได้ไม่กี่ก้าว เขาก็หยุดชะงัก และรีบวิ่งกลับไปยังรถถัง เพราะกลัวว่าจะมีคนอื่นมาขโมยมัน ขณะที่ผู้บังคับบัญชาของเขา คุ้มกันพล.อ.เซือง วัน มินห์ ประธานาธิบดีคนสุดท้ายของเวียดนามใต้ ไปที่สถานีวิทยุ เพื่อยอมจำนนต่อฝ่ายคอมมิวนิสต์
เรื่องราวของลูกเรือ 4 คนของรถถัง 390 ได้รับการเปิดเผยเมื่อนางฟร็องซัวส์ เดอมูลเดอร์ ช่างภาพชาวฝรั่งเศส ซึ่งเป็นพยานการล่มสลายของไซง่อน กลับมาที่เวียดนาม เพื่อตามหากลุ่มทหารในรูปถ่ายของเธอ
ด้าน ร.อ.หวู โท อัน ซึ่งปัจจุบันมีอายุ 78 ปี ปิดปากเงียบเรื่องบทบาทของลูกเรือของเขา แม้แต่ครอบครัวและเพื่อนบ้านของเขาก็ไม่รู้เลยว่า ทหารผ่านศึกนายนี้เป็นผู้ออกคำสั่งสำคัญ ซึ่งร.อ.หวู โท อัน ให้เหตุผลว่า เขาแค่ทำหน้าที่ของตัวเอง และไม่จำเป็นต้องอวดอ้างแต่อย่างใด
เมื่อปี 2488 เมืองโฮจิมินห์ประกาศเอกราชของเวียดนามจากฝรั่งเศส อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้เวียดนามเข้าสู่สงครามที่ยาวนาน 30 ปี โดยเริ่มจากการสู้รบกับฝรั่งเศส ตามด้วยอเมริกา
หลังจากการล่มสลายของไซ่ง่อนในปี 2518 เวียดนามได้รุกรานกัมพูชาเมื่อปี 2522 และทำสงครามชายแดนเป็นระยะ ๆ กับจีน จนถึงปี 2531 กระทั่งในปี 2529 เวียดนามที่ยากจนมากเพราะการสู้รบนานหลายสิบปี ก็เปิดเศรษฐกิจแบบวางแผนจากส่วนกลางสู่โลก
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เวียดนามมีการเติบโตที่โดดเด่น ควบคู่กับการใช้นโยบาย “การทูตไม้ไผ่” โดยเป็นมิตรกับทุกประเทศ รวมถึงประเทศที่พยายามครอบงำเวียดนามในช่วงเวลาหลายปีที่เกิดการนองเลือด.
เลนซ์ซูม
เครดิตภาพ : AFP