ปรากฎการณ์ทางโหราศาสตร์ครั้งนี้  ถือเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบ 40 ปี โดยเริ่มต้นย้ายกันตั้งแต่วันที่ 5 พ.ค. วันที่ 13 พ.ค. และวันที่ 19 พ.ค.นี้ นั่นก็หมายความว่า… ผลของการเปลี่ยนแปลงย่อมส่งผลกระทบต่อคนทั้ง 12 ราศี ในทุกด้าน และมีทั้งด้านบวกและด้านลบ

ส่วนราศีไหน? คนไหน? จะพบกับความเปลี่ยนแปลง หรือต้องเผชิญ อะไรกันบ้าง และต้องเตรียมตัวกันอย่างไร? ก็สามารถค้นหาข้อมูลกันได้ทุกช่องทาง

เหนือสิ่งอื่นใด!! เรื่องทางโหราศาสตร์ เป็นความเชื่อส่วนบุคคล และขึ้นอยู่กับวิจารณญาณ ของแต่ละคน ว่าจะนำข้อมูลมาเป็นเครื่องนำทางในการดำเนินชีวิตหรือไม่ อย่างไร?

แต่ที่แน่ ๆ เหตุการณ์ทางโหราศาสตร์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบ 40 ปี นั้น ก็เหมือนกับ…เหตุการณ์ของโลก ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเช่นกัน จนกระทั้งเข้าสู่ช่วงของ “ทรัมป์ 2.0” ที่เข้ามาสร้างความโกลาหล สร้างความปั่นป่วนไปทั้งโลก

แม้เวลานี้ในเชิงลึกที่บอกใครไม่ได้แบบชนิดที่เรียกว่าเป็น “ดีลลับ” ตามที่นายกฯแพทอง ชินวัตร บอกไว้ว่า รัฐบาลไม่ได้นิ่งเฉยที่จะเจรจากับสหรัฐ  เหมือนกับที่หลายฝ่ายพยายามโจมตี

แต่รัฐบาลได้เตรียมพร้อมทุกทาง โดยเฉพาะในเชิงลึก ในทุกภาคส่วน เพื่อเตรียมตัวเมื่อถึงเวลาและจังหวะที่สหรัฐ เปิดให้เข้าเจรจา โดยมีเป้าหมายที่ได้ประโยชน์ร่วมกันแบบ  “วิน-วิน”

ท่ามกลางการเขย่าโลกของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ครั้งนี้ ก็ทำให้เป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจไทย ต้องเปลี่ยนแปลงไปโดยปริยาย แม้รัฐบาลตั้งเป้าโหนกระแส ที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตให้ได้ที่ 3% ก็ตาม

ในความเป็นจริงแล้ว เป็นเรื่องยากที่จะก้าวไปสู่เป้าหมาย หลายหน่วยงานทางด้านเศรษฐกิจทั้งของไทยและต่างประเทศ ก็พากันหั่นจีดีพีของไทยลง อย่างล่าสุด ก็เป็นกระทรวงการคลัง ที่ยอมหั่นจีดีพีไทยเหลือ 2.1%

ก่อนหน้านี้ธนาคารโลก ก็หั่นจีดีพีไทยลงเหลือ 1.6% จากเดิมที่คาดไว้ที่ 2.9% เช่นกัน ซึ่งจากนี้ก็ต้องมารอดูหน่วยงานกลางทางด้านเศรษฐกิจของไทยอย่าง สภาพัฒน์ว่าจะหั่นจีดีพีไทยหรือไม่?

ผลกระทบจากทรัมป์เอฟเฟก ในครั้งนี้ ยังเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การท่องเที่ยวไทย ที่ถือได้ว่าเป็น “ดาวเด่น” ของไทย ก็ถูกหางเลขไม่น้อย เช่นเดียวกับเรื่องของการส่งออกสินค้า

เพราะในช่วง 4 เดือนของปีนี้ (ม.ค.-เม.ย.68) นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาเที่ยวไทย กลับหดตัวจนติดลบที่ 0.26% โดยมีนักท่องเที่ยวรวมประมาณ 12.09 ล้านคน สร้างรายได้ 5.76 แสนล้านบาท

ขณะที่ในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ที่เรียกได้ว่า เป็นเดือนแห่งเทศกาลสำคัญระดับโลก อย่างสงกรานต์ ที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต้องต่างต้องการมาสัมผัสบรรยากาศ  แต่ปรากฏว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวไทยกลับหดตัวติดลบ 7.6% มีนักท่องเที่ยวเพียง 2.54 ล้านคน

นอกจากเรื่องของเศรษฐกิจโลก ที่ลดลงแล้ว ส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับว่าเป็นผลมาจากการเป็นห่วงเรื่องความไม่ปลอดภัยของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่เกิดกับนักแสดงชื่อดังชาวจีน จนบานปลายกลายเป็นการสื่อสารทางโซเชียลของชาวจีนกันเอง  ส่งผลให้ชาวจีนหันไปเที่ยวประเทศอื่นแทน รวมไปถึงการเกิดเหตุแผ่นดินไหว ก็ทำให้นักท่องเที่ยวหลายชาติเปลี่ยนใจไปด้วยเช่นกัน

ด้วยเหตุนี้บรรดาผู้ประกอบการด้านท่องเที่ยว จึงเตรียมยื่นหนังสือปกขาวให้นายกฯแพทองธาร เพื่อฟื้นฟูนักท่องเที่ยวชาวจีนโดยด่วน  เพราะเวลานักท่องเที่ยวจีนลดลงไปมากกว่า 50%  ทั้งที่ในช่วงก่อนโควิด -19 นักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวไทยมากถึง 4-5 ล้านคน

ที่สำคัญ… แนวโน้มในครึ่งปีหลังนี้โอกาสการยกเลิกเที่ยวบินโดยตรงจากจีน มีโอกาสถูกยกเลิกมากถึง 68%ของเที่ยวบินทั้งหมด หากรัฐบาลไม่แก้ปัญหานี้ ความหวังที่จะนำเอารายได้จากการท่องเที่ยวมาเป็นรายได้หลักของประเทศก็อาจจมเหวได้

จึงไม่ต้องแปลกใจ ที่ได้เห็นภาพ นายกฯแพทองธาร เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาระดมสมอง เพื่อวางแผนรับมือ แต่เหนืออื่นใด!! สิ่งที่ฝ่ายบริหารต้องฟัง ก็คือข้อเสนอของภาคเอกชน ที่เป็นตัวจริงเสียงจริงด้วย!!.

……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”

อ่านบทความทั้งหมดคลิกที่นี่