การเมืองไทยร้อนไม่หยุดฉุดไม่อยู่ เมื่อสถานการณ์เดินเข้าสู่โหมด “นิติสงคราม” รุมเร้าในทุกภาคส่วนของการเมืองกับบรรดาแกนนำตัวจี๊ด
เริ่มจากที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งตำแหน่งทางการเมือง รับคำร้องชั้น 14 “ทักษิณ ชินวัตร” ไว้พิจารณา จากคำร้องของ “ชาญชัย อิสระเสนารักษ์” อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาฯ เมื่อวันที่ 10 ม.ค. 68 เพื่อขอให้ไต่สวนกรณีที่กรมราชทัณฑ์ อนุญาตให้ นายทักษิณ ซึ่งถูกตัดสินจำคุก 8 ปี แต่ได้รับการลดโทษเหลือ 1 ปี ได้เข้ารับการรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาล
ซึ่งนายชาญชัย เห็นว่าการกระทำดังกล่าวอาจขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 89 มาตรา 89/2 (1) (2) และมาตรา 246และไม่อาจอ้างกฎกระทรวง เรื่องการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 ลงวันที่ 25 ก.ย. 63 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 55 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 เพราะขัดต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ก่อนหน้านี้นายชาญชัย เคยยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาฯ เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 66 และวันที่ 15 ก.พ. 67 แต่ศาลมีคำสั่งยกคำร้องทั้ง 2 เรื่องโดยไม่ต้องไต่สวน ต่อมาเมื่อวันที่ 10 ม.ค. 68 นายชาญชัย ยื่นคำร้องอีก เพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งเดิม และขอให้รับคำร้องไว้ไต่สวน และมีคำสั่งบังคับโทษจำคุก ให้เป็นไปตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุด
ซึ่งศาลฯไม่รับคำร้องเพราะเห็นว่านายชาญชัย ไม่ใช่คู่ความในคดี และไม่ใช่ผู้เสียหายของคดีดังกล่าว แต่เรื่องนี้จะเป็นจุดอันตรายของชะตากรรมชั้น 14 ของ “นายใหญ่บ้านจันทร์ส่องหล้า ทักษิณ ชินวัตร”
งานนี้ศาลออกหน้ารับคดีนี้เองเพราะความปรากฏต่อศาล อาศัยอำนาจพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 6 สั่งให้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายแพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ แจ้งให้ศาลทราบ พร้อมแสดงหลักฐานที่เกี่ยวข้องภายใน 30 วัน และมีคำสั่งให้นัดพร้อมหรือนัดไต่สวนในวันที่ 13 มิ.ย. 68 เวลา 09.30 น.
ตอนนี้ทุกสายตาต่างจับตาดูว่างานนี้ศาลจะทำความกระจ่างให้กับสังคมได้หรือไม่ อีกทั้งเป็นการพิจารณาศาลชั้นเดียวรู้ผลทันที
ขณะที่พรรคประชาชน ยังต้องฝากความหวัง ไว้ที่ศาล โดย “รังสิมันต์ โรม” สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ออกมาให้ความเห็นว่า วันนี้องค์กรต่างๆแทบไม่สามารถเชื่อมั่นได้เลยว่าจะจัดการกับชั้น 14 ได้ บ้านเมืองกำลังถูกกัดกร่อนทำลายจากความอยุติธรรมที่ช่วยเหลือพ่อ เพื่อน พวกพ้อง ศาลมีดาบอยู่ในมือที่เข้มแข็งมากที่สุดกว่าทุกองค์กร ถ้าใครไม่ปฏิบัติตามศาล มีโทษจำคุกค้ำอยู่
“ค่อนข้างมั่นใจว่าหน่วยงานต่างๆต้องให้ความร่วมมือมากยิ่งขึ้น แต่ต้องกลับไปถามนายกฯและองค์กรที่เกี่ยวข้องว่า ถ้ามั่นใจกรณีชั้น 14 ทำถูกต้อง โปร่งใส เหตุใดไม่ให้ความร่วมมือ ทั้งแพทยสภา ป.ป.ช.ก็ประสบปัญหา สภาก็ประสบปัญหา ศาลจึงเป็นที่พึ่งหวัง สร้างความกระจ่างเรื่องนี้”
จึงถือว่าเป็นคดีที่คอยพันขา “ทักษิณ” สามารถกระตุกไม่ให้ล้ำเส้นเกินไป
ขณะเดียวกันคดีลูกสาว แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่น้อยหน้า มีคดีค้างคาอยู่ในองค์กรอิสระเพียบและกำลังงวดเข้ามาทุกขณะ ไม่ว่าจะเป็นคดีการถือครองหุ้นสนามกอล์ฟอัลไพน์,กรณีโรงแรมเทมส์วัลลีย์ เขาใหญ่ ที่อาจเข้าข่ายว่า มีการออกโฉนดโดยมิชอบ เนื่องจากเป็นพื้นที่เป็นต้นน้ำลำธาร ที่อัพเลเวลขึ้นเรื่อยๆ
นอกจากนี้ยังมีคดีใช้ตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือ ตั๋วพีเอ็น เข้าข่ายนิติกรรมอำพราง เพื่อหลบเลี่ยงการเสียภาษี ที่ขุนพลพรรคประชาชน โดย วิโรจน์ ลักขณาอดิศร หลังจากที่ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจ “นายกฯแพทองธาร” ใช้ยุทธการโรยเกลือส่งข้อมูลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ ปรากฏว่า เรื่องไม่คืบ คือ คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร ยังไม่ครบองค์ประกอบ เพราะขาดกรรมการ ส่วนของทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 คน
จึงใช้องคาพยพของสภาผู้แทนราษฏรขับเคลื่อน โดยให้ คณะกรรมาธิการ(กมธ.) การพัฒนาเศรษฐกิจสภา ทำหนังสือไปยังหน่วยงานและบุคคลที่เกี่ยวข้อง คือ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯและรมว.คลัง นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร และ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง. ) ให้ตรวจสอบในกรณีดังกล่าว หากไม่ทำเจอต้องโดนวิบากกรรมแน่นอนเพราะจะไปร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เพราะเข้าข่าย157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
เรื่องนี้ก็จะกลายเป็นอีกคดีที่พันขา “ลูกอิ๊งค์และคนตระกูลชินวัตร ”
ขณะเดียวพรรคประชาชนยังมีปมร้อนเช่นกัน ในคดีที่44 สส.พรรคก้าวไกล เข้าชื่อแก้ไขมาตรา 112 ผิดจริยธรรม ซึ่งป.ป.ช.เรียกสส.เข้าชี้แจงแก้ข้อกล่าวหากันอยู่
และก็คงอีกไม่นานก็จะรู้ผล หากออกมาไม่เป็นคุณต่อพรรคประชาชน ทำให้ 25 สส.ของพรรคประชาชนต้องโดนวิบากกรรม ทำสมการทางการเมืองเปลี่ยนได้
เสียงฝ่ายค้านน้อยลง พรรคเพื่อไทยได้เปรียบ จึงมีความเป็นไปได้หากพรรคเพื่อไทยจะเขี่ยพรรคภูมิใจไทยออก เปิดช่องทำได้เพราะขณะนี้มีการขบเหลี่ยมปีนเกลียวกันอยู่เป็นระยะๆ
แม้นว่า “นายกอิ๊งค์” ยืนยันว่า ยังไม่ปรับคณะรัฐมนตรีตอนนี้ แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้
นอกจากนี้ยังมีประเด็นร้องลามไปถึง “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน และหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ มีคนไปร้องเรื่องคุณสมบัติ การถือหุ้นในบริษัทเอกชน 4 แห่ง แม้จะทำสัญญาการจัดการหุ้นส่วนหรือหุ้นของรัฐมนตรีต่อนิติบุคคลในการบริหารจัดการ แต่ยังไม่มีการโอนหุ้นและยังมีสถานะเป็นกรรมการบริษัท มีอำนาจลงนาม บริหารกิจการเอกชน มีอำนาจครอบงำ สั่งการยุ่งเกี่ยวกับบริษัทได้ เป็นกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงหรือไม่
แม้หลายคนเชื่อว่า “พีระพันธุ์” จะเป็นนักกฎหมาย มือหนึ่ง แต่จะเป็นจุดทำให้เกิดแรงเขย่าไปที่พรรครวมไทยสร้างชาติได้ เพราะมีนายทุนพยายามเข้ามาครอบงำพรรคอยู่
นอกจากนี้คดีฮั้วสว.ที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เร่งเครื่องเดินหน้าสอบ ยกคณะลงพื้นที่เมืองทองธานี ใช้ AI ช่วยวิเคราะห์ จับพิรุธฮั้วเลือกสว.67 ระดับประเทศ ซึ่งอีกไม่นานจะเป็นแรงเขย่า จากผลการสรุปคดีซึ่งจะชี้เป็นชี้ตายค่ายสีน้ำเงิน
แต่ปัญหาสำคัญที่ถือว่าเป็นไฟลนก้นรัฐบาล คือ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ล่าสุดบริษัท มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส (Moody’s) เปิดเผยว่า “มูดี้ส์” ได้ปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตของประเทศไทยลงสู่มุมมอง “เชิงลบ” (Negative) จากเดิมที่มีเสถียรภาพ (Stable) โดยการเปลี่ยนมุมมองครั้งนี้สะท้อนถึงความเสี่ยงที่ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและการคลังของประเทศไทยจะอ่อนแอลง
โดยหอการค้าไทย แสดงความห่วงกังวลเพราะเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่าตลาดโลกเริ่มมีข้อกังวลต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการคลังของไทยในระยะข้างหน้า
ขณะที่ฝ่ายค้าน หัวหน้าเท้ง ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน แนะว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเราต้องพยายามหลีกเลี่ยงฉากทัศน์ที่เลวร้ายที่สุดสำหรับประเทศไทย ทั้งการส่งออกหดตัวจากผลกระทบที่เกิดขึ้น สินค้าต่างประเทศล้นทะลักเข้าประเทศไทยจำนวนมาก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน และระบบเศรษฐกิจภายในประเทศ จนอาจเกิดวิกฤติเศรษฐกิจอีกครั้งในอนาคต ดังนั้นต้องเตรียมมาตรการรับมือ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดฉากทัศน์นั้นขึ้น รวมถึงการมองไปในระยะยาว ในพื้นที่ทางการคลังที่เหลืออยู่ หากมีการกู้แล้วรัฐบาลในสมัยหน้าๆ จะต้องเป็นคนรับผิดชอบด้วยเช่นเดียวกัน จะทำอย่างไรให้การกู้ในครั้งนี้ จะสามารถนำไปใช้แก้ไขปัญหาและลงทุนได้อย่างถูกจุดมากกว่า
ด้าน“ไหม”น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ชี้ว่าเรื่องนี้ ถือเป็น “wake up call” หรือนาฬิกาปลุกชั้นดีที่จะทำให้รัฐบาลหันมาจริงจังเสียทีกับการรับมือสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่จะตกต่ำจากสงครามการค้า ถ้าไม่อยากให้ฐานะทางการคลังแย่ลง อย่าเพิ่งแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต เก็บกระสุนไว้ยิงเมื่อยามจำเป็น ลดการกู้เงินได้ ลดหนี้สาธารณะได้อีก
ดังนั้นรัฐบาลจะต้องรีบหามาตรการใหม่ๆออกมา เพื่อปลุกพลิกฟื้นเศรษฐกิจ และต้องเร่งเจรจาทลายกำแพงภาษีทรัมป์เอฟเฟค เพราะการที่ประเทศไทยยังไม่ได้เข้าไปเจรจากับสหรัฐอเมริกา แม้รัฐบาลอ้างว่าที่ยังไม่ได้คุยเพราะรอเวลาที่เหมาะสม แต่การไม่ได้เปิดโอกาสเจรจารอบแรก เพื่อรู้เขารู้เรานำมาเป็นการบ้านให้หลายฝ่ายเดินหน้าได้
เมื่อมัดรวมปัญหาก็เห็นถึงความกลวงของรัฐบาลในการเดินเกมรุกแก้ปัญหา หากรัฐบาลไม่สามารถหามาตรการมาช่วยประชาชนในเรื่องเศรษฐกิจ ประชาชนก็จะเจอปัญหาสินค้าแพง ค่าแรงไม่ขึ้น หนี้ท่วมตัว จนแรงงานต้องรวมตัวกันในวันแรงงานเพื่อเรียกร้องทวงสัญญาที่เคยให้ไว้
ดังนั้นรัฐบาลต้องคิดโครงการใหม่ๆ ขึ้นมาพลิกฟื้นเศรษฐกิจ ให้ประชาชนได้ลืมตาอ้าปากได้ เพื่อเรียกศรัทธาคืนก่อนดิ่งเหว