ผู้เป็นเบาหวาน

  • มีโอกาสเป็นแผลที่เท้า ประมาณร้อยละ 2 ต่อปี   
  • ทั้งช่วงชีวิตมีโอกาสเป็นแผลที่เท้าสูงถึงร้อยละ 15-25
  • หากเคยมีแผลที่เท้ามีโอกาสเป็นแผลซ้ำในปีแรกสูงถึงร้อยละ 30-40
  • ผู้ที่ถูกตัดขา/ เท้า/นิ้ว มากกว่าร้อยละ 80 มีประวัติการเป็นแผลมาก่อน

เมื่อเป็นเบาหวานนาน หรือคุมน้ำตาลไม่ดี จะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง?

  • มีอาการเท้าชา ไม่รู้สึกเจ็บ ไม่รู้ร้อนรู้เย็น หรือไม่รู้ตำแหน่งสัมผัส…อาจเกิดแผลโดยไม่รู้ตัว
  • กล้ามเนื้อขนาดเล็กลีบ เหงื่อออกน้อย… ทำให้เท้าผิดรูป ผิวแห้ง
  • เส้นประสาทส่วนปลายผิดปกติ หรือเลือดไปเลี้ยงน้อย…เกิดแผลเรื้อรัง
  • เท้าผิดรูป ใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะสม … เกิดแผล

“การป้องกันไม่ให้เกิดแผลที่เท้าจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันการถูกตัดเท้า นิ้วเท้าหรือขา”

การป้องกันแผลเท้าเบาหวาน

  • ตรวจเท้าประเมินความเสี่ยงในการเกิดแผลที่เท้าอย่างละเอียดที่ รพ. อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

หรือตามระดับความเสี่ยง (ที่แพทย์หรือพยาบาลแจ้งให้ทราบ)

  • เพื่อค้นหาความเสี่ยงและความผิดปกติเข้าถึงการดูแลรักษาได้รวดเร็วและเหมาะสม
  • เป็นการตรวจที่ไม่เจ็บเพราะอุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจทำจากเอ็น/ ไนล่อน ไม่ใช่เข็ม

“ ใช้ไนลอนแตะเบา ๆ ที่ฝ่าเท้า 2 ข้าง…เพียงหลับตาแล้วตอบความรู้สึก ”

*** ถ้าตรวจพบว่าผิดปกติ จะสัมพันธ์กับความเสี่ยงในการเกิดแผลที่เท้า 3 เท่า ***

  • ตรวจหาความผิดปกติทั่วเท้า ทุกซอกทุกมุม ทั้งสภาพผิวหนังและเล็บ รูปร่างเท้า/ แผลที่เท้า
  • คลำชีพจรที่เท้าเพื่อประเมินเลือดที่มาเลี้ยงขา บางคนชีพจรที่เท้าเบาลง หรือคลำไม่ได้
  • จัดกลุ่มความเสี่ยงของการเกิดแผลที่เท้า และจัดการปัญหา หรือส่งต่อแพทย์/แพทย์เฉพาะทาง
  • ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ดี จะช่วยชะลอการสูญเสียการรับความรู้สึกที่เท้า ป้องกันโรคเส้นประสาทส่วนปลายเสื่อมจากเบาหวาน และโรคหลอดเลือดส่วนปลายที่ขาตีบ
  • ไม่สูบบุหรี่/ บุหรี่ไฟฟ้า (e-cigarettes) หรือรับควันบุหรี่จากผู้อื่น หรืออยู่ในสถานที่ที่มีการสูบบุหรี่  เพราะสารนิโคตินในบุหรี่ทำให้ความยืดหยุ่นของหลอดเลือดลดลง และเส้นเลือดที่มาเลี้ยงขาตีบ ทำให้เลือดไหลเวียนไปที่เท้าลดลง มีโอกาสเกิดแผลได้ง่าย
  • ระวังอย่าให้เกิดตุ่มน้ำพุพอง จุดเลือดออกใต้ผิวหนัง เล็บขบ หนังหนาด้าน หรือผิวแห้งแตก
  • ตรวจเท้าทุกวันเพื่อหาความผิดปกติ เช่น ผิวแห้งแตก แผล หนังหนา ตาปลา (เลี่ยงการตัดหนังหนา หรือตาปลาเอง) เล็บขบ เชื้อรา เป็นต้น หากพบความผิดปกติให้รีบแจ้งแพทย์หรือพบแพทย์
  • ทาครีม หรือโลชั่นทุกวัน เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้เท้า ป้องกันเท้าหนา แห้งแตก ซึ่งจะทำให้มีโอกาสเกิดแผลและติดเชื้อตามมา
  • ใส่ถุงเท้าและรองเท้าที่เหมาะสมตามคำแนะนำของแพทย์พยาบาล เพื่อป้องกันการเสียดสี
    แรงกระแทก หรือเหยียบของมีคม “รองเท้าควรใส่ทั้งในบ้านและนอกบ้าน…งดการเดินเท้าเปล่า”
  • ตัดเล็บเท้าแบบตรงไม่สั้นชิดเนื้อ ป้องกันการเกิดแผล และเล็บขบ
  • บริหารเท้า ขยับข้อต่อนิ้วเท้า หรือออกกำลังกายเท้าทุกวัน เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อบริเวณเท้าและข้อเท้า รวมทั้งเพิ่มการไหลเวียนเลือด
  • งดวางกระเป๋าน้ำร้อนหรือประคบร้อนที่เท้าหรือขา เพราะประสาทรับความรู้สึกอาจลดลง
    เท้าชา เกิดพุพอง น้ำร้อนลวก และเป็นแผลโดยไม่รู้ตัว มีโอกาสเสียเท้าหรือขา
  • ดูแลบาดแผลเบื้องต้น และแผลที่ไม่รุนแรงด้วยตนเอง อย่างถูกวิธี หรือปรึกษาแพทย์พยาบาลที่เชี่ยวชาญ

อาการที่ต้องรีบพบแพทย์โดยเร็ว ….เดินแล้วปวดน่อง  เท้าซีดเย็น นิ้วดำ หรือสีคล้ำ

ข้อมูลจาก พว.ปุญญาดา ณปัณพัฒน์ สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยฯ

นายแพทย์สุรพงศ์  อำพันวงษ์

คลิกอ่านบทความทั้งหมดได้ที่นี่