การที่รัฐบาลเอาจริงเอาจังในการปราบปรามป้องกันปัจจัยเสี่ยง อย่าง “บุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า” นั้นทำให้เห็นภาพการจับกุมผลิตภัณฑ์เหล่านี้มากมายมหาศาลจนน่าตกใจ แต่การไล่จับอย่างเดียวเชื่อว่าไม่มีทางหมดไปจากสังคมได้ สุดท้าย “ลูกหลานไทย” นี่แหละที่จะตกเป็นเหยื่อ เสียสุขภาพ เหมือนที่เป็นข่าวรายวันว่ามีเด็กอายุแค่ 9 ขวบ 10 ขวบ ทั้ง ๆ ที่ควรได้วิ่งเล่นกับเพื่อน ๆ กลับต้องนอนใส่ท่อช่วยหายใจเพราะป่วยปอดอักเสบรุนแรง หรือ อีวาลี EVALI ซึ่งมีต้นเหตุมาจากบุหรี่ไฟฟ้า
ดังนั้น ประชาชน คนในพื้นที่ คนในท้องถิ่นจึงต้องเข้ามามีส่วนร่วมการปราบปราม ป้องกันปัจจัยเสี่ยงคุกคามสุขภาพ ซึ่งล่าสุดเมื่อวันที่ 23-24 เม.ย. 2568 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เป็นแม่งานจัด ประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อเสริมศักยภาพและสนับสนุนชุมชนท้องถิ่นในการเพิ่มประสิทธิภาพ การควบคุมการบริโภคบุหรี่ และบุหรี่ไฟฟ้าอย่างยั่งยืนในพื้นที่ภาคกลาง ซึ่งมีทางตัวแทนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ผู้บริหารและพนักงานท้องถิ่น เจ้าหน้าที่สาธารณสุข นักวิชาการ ผู้นำชุมชน และภาคีเครือข่ายเข้าร่วม เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแสดงผลงานต้นแบบของการควบคุมการบริโภคยาสูบอย่างมีประสิทธิภาพในระดับพื้นที่

โดย “นพ.พิศิษฐ์ ศรีประเสริฐ ประธานกรรมการบริหารแผนคณะที่ 3 และกรรมการบริหารแผนคณะที่ 1 สสส.” ให้ข้อมูลว่า การขับเคลื่อนงานควบคุมการบริโภคยาสูบ จำเป็นต้องใช้แนวทางบูรณาการเชิงระบบ ระหว่างภาคีภายในและภายนอกพื้นที่ เพื่อประสานความรู้เชิงลึกด้านการป้องกัน และควบคุมยาสูบ รวมถึงการฟื้นฟูเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ร่วมกับพลังของการพัฒนาชุมชนแบบมีส่วนร่วม ชูเรื่องการควบคุมการบริโภคยาสูบให้เป็นประเด็นสำคัญในการขับเคลื่อนงานโดยเฉพาะการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า ที่กำลังระบาดในกลุ่มเด็กและเยาวชน

ทั้งนี้ ในการทำงานนั้นจะยกระดับจากแนวทางเชิงประสบการณ์ สู่กระบวนการระดับมืออาชีพ ด้วยยุทธศาสตร์การเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น (S-2I) กับการควบคุมการบริโภคยาสูบโดยชุมชนท้องถิ่น ที่เน้นสร้างระบบที่ประกอบด้วย คน-กลไก-ข้อมูล และเครื่องมือทางกฎหมาย โดยใช้กฎหมายควบคุมยาสูบที่มีอยู่แล้วเป็นฐานสนับสนุนเชิงระบบ เช่น คณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบระดับจังหวัด และการมีส่วนร่วมของท้องถิ่น เกิดนวัตกรรมที่จะเข้ามาจัดการ และจุดเน้นสำคัญของการพัฒนาต่อจากนี้คือ “การสื่อสารสาธารณะในระดับชุมชน” อย่างมืออาชีพ โดยยึดหลัก 3 ประการ คือ 1. ทำด้วยใจ ด้วยความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ 2. ทำอย่างสุดความสามารถ ด้วยความเชื่อมั่นในเป้าหมายการเลิกบุหรี่อย่างยั่งยืน และ 3. ทำด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะการสื่อสารในบริบทสังคมและกฎหมาย

“อยากเน้นให้มีการสนับสนุนในการสร้างนักสื่อสาร โดยการทำเนื้อหาออนไลน์ เช่นการทำ TikTok, YouTube และ Facebook ให้คนในพื้นที่ และนำไปสู่การสร้างกระแสการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าได้ ยกตัวอย่าง ถ้าเราไปถาม AI จะพูดถึงแต่ข้อดีของบุหรี่ไฟฟ้า ส่วนข้อเสีย โทษ ปัญหา จะมีข้อมูลที่น้อยมาก เพราะ AI ดูจากการโพสต์ ดังนั้นการสร้างกระแส ต้องเอาพวกเราที่อยู่ในพื้นที่ เอาคนต้นแบบ มาเป็นผู้คอยชักชวนให้เลิก ชี้นำ ข้อมูลอีกด้านเพื่อสู้กลับ” นพ.พิศิษฐ์ ระบุ

ด้าน ดร.นิสา รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ผอ.สำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน (สำนัก 3) สสส. ระบุเพิ่มเติมว่า การจัดเวทีครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญในการสร้างพลังการเปลี่ยนแปลงจากฐานราก ด้วยการผลักดันให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นกลไกหลักในการควบคุมยาสูบอย่างยั่งยืน จะเห็นว่า บางพื้นที่ได้นำบทเรียนจากการดำเนินงานมานำเสนอ จะพบว่า การมีเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ หรือ ตำบลสุขภาวะ ในระยะแรกอาจไม่ได้กำหนดตัวชี้วัด เวทีนี้จึงได้เชิญนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญมาร่วมชี้แนะ และมอบองค์ความรู้ สู่การขยายผลให้อปท. อื่น ๆ ที่ยังไม่ได้ร่วมโครงการ
“วันนี้เราเห็นชัดว่าหลายพื้นที่เริ่มต้นจากการไม่ได้บรรจุเรื่องบุหรี่หรือบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในกิจกรรมหลักของท้องถิ่น แต่เมื่อมีข้อมูล มีบทเรียนจากพื้นที่ที่ทำสำเร็จจริง ทำให้เริ่มมีการวางแผนงานชัดเจนขึ้น วางงบประมาณในข้อบัญญัติท้องถิ่น มีการตั้งตัวชี้วัดเพื่อให้เห็นผลลัพธ์จริง”

ดร.นิสา ยังบอกอีกว่า สำหรับแผนงานรณรงค์ในปี 2568 สสส. ดำเนินการภายใต้แนวคิด นิโคติน เสพติดจนตาย สามารถดาวน์โหลดนำไปปรับใช้และเผยแพร่ในพื้นที่ได้ โดยเน้นการ สื่อสารที่ตรงประเด็น สะท้อนความจริง และเข้าถึงใจของกลุ่มเป้าหมาย เช่น สื่อภาพ “นิโคติน เสพติดจนตาย” เพื่อกระชากหน้ากากความเข้าใจผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า และในวันที่ 31 พ.ค. ซึ่งเป็นวันงดสูบบุหรี่โลก เครือข่ายจะจัดกิจกรรมรณรงค์ในพื้นที่นำร่องทั่วประเทศ โดยใช้รูปธรรมจากพื้นที่ต้นแบบเป็นฐานกระจายองค์ความรู้และขยายผลไปยัง อปท. อื่น ๆ ที่ยังไม่ได้เข้าร่วมขบวนการ เพื่อเร่งสร้าง “ตำบลสุขภาวะ” ที่เข้มแข็งทั่วประเทศ
ขณะที่ น.ส.สุภาพร ทองเอม พนักงานกองสาธารณสุข องค์การบริหารส่วนตำบลด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี ได้รายงานผลการขับเคลื่อน “ชุมชนปลอดบุหรี่” สร้างสังคมสุขภาวะยั่งยืน โดยการบูรณาการทุกภาคส่วนในพื้นที่ ตามหลัก
Ottawa Charter ที่เน้นการสร้างสภาพแวดล้อมและระบบสุขภาพที่เอื้อต่อการไม่สูบบุหรี่ สำหรับปัญหาการบริโภคยาสูบในพื้นที่ มีทั้งบุหรี่ธรรมดา ยาเส้น และบุหรี่ไฟฟ้า โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนและผู้สูงอายุ ทำให้มีการจัดการผ่าน 4 นโยบายสำคัญ ได้แก่ 1. การประกาศองค์กรปลอดบุหรี่ 2. การปกป้องผู้ไม่สูบและช่วยเลิกบุหรี่ 3. การควบคุมการจำหน่ายในร้านค้า และ 4. การตั้งคณะทำงานควบคุมยาสูบในพื้นที่ จนเกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม ได้แก่ การประกาศเขตปลอดบุหรี่ครอบคลุมพื้นที่ราชการและสาธารณะ 109 แห่ง ร้านค้าปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเข้มงวด อสม.ลงพื้นที่ให้คำปรึกษาและเฝ้าระวังต่อเนื่อง และประชาชนร่วมมือกันอย่างกว้างขวาง ทำให้จากพื้นที่ที่เคยมีปัญหาควันบุหรี่ วันนี้ ต.ด่านช้าง กลายเป็นพื้นที่ต้นแบบของการจัดการปัญหายาสูบ ด้วยพลังความร่วมมือของคนในชุมชน ตามเป้าหมาย “ชุมชนสุขภาวะอย่างยั่งยืน”.