เฮกเซธ วัย 44 ปี เกี่ยวข้องกับกองทัพสหรัฐมาก่อน ตรงที่เคยเป็นเจ้าหน้าที่กองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ ผ่านการสู้รบมาแล้วทั้งในอิรักและอัฟกานิสถาน แล้วเมื่อปลดประจำการ ผันตัวมาทำงานในวงการสื่อสารมวลชน ด้วยการเป็นผู้ประกาศข่าวของสถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์
เฮกเซธเกือบไม่ผ่านการรับรองคุณสมบัติจากวุฒิสภา เมื่อที่ประชุมมีมติออกมาที่ 50 ต่อ 50 เสียง เนื่องจากวุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกัน 3 คน ร่วมออกเสียงคัดค้าน ทำให้รองประธานาธิบดี เจ.ดี. แวนซ์ ในฐานะประธานวุฒิสภา ต้องใช้สิทธิออกเสียงด้วย ซึ่งแน่นอนว่า แวนซ์ต้องลงมติสนับสนุนเฮกเซธ ส่งผลให้มติผ่านการรับรอง ด้วยเสียงสนับสนุนฉิวเฉียด 51 ต่อ 50 เสียง

ย้อนกลับไปเมื่อกลางเดือนม.ค. ที่ผ่านมา ระหว่างการที่เฮกเซธเข้ารับการพิจารณาคุณสมบัติ จากคณะกรรมาธิการบริการอาวุธของวุฒิสภาสหรัฐ นางลัดดา แทมมี ดักเวิร์ธ วุฒิสมาชิกเชื้อสายไทย จากพรรคเดโมแครต ขอให้เฮกเซธพูดชื่อประเทศที่เป็นสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ( อาเซียน ) อย่างน้อย 1 ประเทศ และสหรัฐมีข้อตกลงแบบใดกับสมาชิกอาเซียนประเทศนั้น พร้อมทั้งถามด้วยว่า สมาชิกอาเซียนมีทั้งหมดกี่ประเทศในปัจจุบัน
เฮกเซธตอบว่า เขาไม่สามารถบอกจำนวนสมาชิกอาเซียนที่แน่นอนได้ แต่อย่างน้อยเขาทราบว่า พันธมิตรของสหรัฐ มีทั้งเกาหลีใต้และญี่ปุ่น อีกทั้งยังมีออสเตรเลีย ที่เป็นหนึ่งในสมาชิกของออคัส ซึ่งสหรัฐกำลังมอบความสนับสนุนให้ออสเตรเลียมีเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์เป็นของตัวเอง
ด้านดักเวิร์ธตัดบทตรงช่วงนี้ พร้อมทั้งกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า ทั้งสามประเทศที่เฮกเซธกล่าวมานั้น ไม่ใช่สมาชิกอาเซียน และขอให้เฮกเซธ “ศึกษาและทำการบ้านให้ดีกว่านี้” เกี่ยวกับเรื่องพื้นฐาน ที่ผู้ดำรงตำแหน่งรมว.กลาโหมสหรัฐสมควรทราบ
ขณะที่คณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่สังกัดพรรคเดโมแครต ออกแถลงการณ์ตามมาภายในเวลาอันรวดเร็ว ว่า “อาเซียนย่อมาจากสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันมีสมาชิก 10 ประเทศ ซึ่งไม่มีญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือ ออสเตรเลีย พร้อมทั้งยกตัวอย่างว่า ไทยและฟิลิปปินส์คือสมาชิกอาเซียน และเป็นพันธมิตรสำคัญของสหรัฐ ผู้ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นรมว.กลาโหม ต้องรู้จักพันธมิตรอินโด-แปซิฟิก ของสหรัฐ”
เมื่อรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ เฮกเซธเดินหน้า “ยกเครื่อง” กระทรวงกลาโหมสหรัฐ ตามแนวทางของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการยุติการขับเคลื่อนนโยบาย และโครงการทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับ การส่งเสริมความหลากหลายทางเพศ เชื้อชาติ และวัฒนธรรม การยกเลิกรับพิจารณาบุคคลข้ามเพศเข้าสู่กองทัพ และการขับเคลื่อนนโยบายต่างประเทศบางส่วน อาทิ ความใฝ่ฝันของทรัมป์ ในการ “ยึดครอง” คลองปานามา”
นอกจากนี้ ยังมีการปรับเปลี่ยนการประจำการของสื่อมวลชน ที่เป็นการเปิดโอกาสให้สำนักข่าวขนาดเล็กและนอกกระแส แต่มีจุดยืนทางการเมืองฝ่ายขวาหรืออนุรักษนิยม ให้เข้ามาใช้พื้นที่ทำงานภายในกระทรวงได้มากขึ้น และยังมีการเลิกจ้างเจ้าหน้าที่พลเรือนหลายหมื่นคน และกำหนดเป้าหมายลดการใช้จ่ายงบประมาณให้ได้ 8% ต่อปี ภายในระยะเวลาอีก 5 ปีนับจากนี้ ซึ่งหากทำได้จริง จะช่วยให้สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ 290,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 9.7 ล้านล้านบาท ) ตลอดช่วงเวลาดังกล่าว

กระทรวงกลาโหมสหรัฐภายใต้การนำของเฮกเซธสร้างทั้งเสียงชื่นชม และเรียกคำวิจารณ์ควบคู่กันมาตลอด โดยเฉพาะกรณีอื้อฉาวล่าสุด นั่นคือ การที่ “ดิ แอตแลนติก” ซึ่งเป็นนิตยสารด้านการเมืองและการทูตของสหรัฐ เปิดเผยเนื้อหาจากบทสนทนาเกี่ยวกับ การวางแผนโจมตีกลุ่มฮูตีในเยเมน จากห้องสนทนาของเจ้าหน้าที่ระดับสูงสหรัฐ ในแอปพลิเคชัน “ซิกนัล” ที่มีการดึงนายเจฟฟรีย์ โกลด์เบิร์ก บรรณาธิการบริหารของดิ แอตแลนติก เข้าไปรวมอยู่ในกลุ่มสนทนาด้วย
ทั้งนี้ ดิ แอตแลนติก และโกลด์เบิร์ก ให้เหตุผลเกี่ยวกับการเผยแพร่ข้อมูลทั้งหมด ซึ่งเกิดขึ้นก่อนกองทัพสหรัฐปฏิบัติการในวันที่ 15 มี.ค. ที่ผ่านมา เป็นเพราะเจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคนในทำเนียบขาว กล่าวว่า เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น “เป็นเรื่องโกหก” และต้องการให้ชาวอเมริกันมีโอกาสพิจารณา “ความเหมาะสม” ของเรื่องที่เกิดขึ้น
แม้นายไมค์ วอลต์ซ ที่ปรึกษาด้านนโยบายความมั่นคงแห่งชาติประจำทำเนียบขาว เป็นผู้ดูแลห้องสนทนานี้ แต่ข้อความจำนวนมากมาจากเฮกเซธ แม้เจ้าตัวยืนกรานว่า ไม่ได้ส่งข้อมูลลับทางทหารเข้าสู่ห้องสนทนา ทว่าเนื้อหาของข้อความที่มีการส่ง รวมถึงการระบุเวลา เป้าหมาย พิกัด และประเภทของเครื่องบินรบซึ่งใช้ปฏิบัติการโจมตีในวันนั้น
ยิ่งไปกว่านั้น “เดอะ นิวยอร์ก ไทม์ส” รายงานเพิ่มอีกว่า เฮกเซธ ส่งข้อมูลเกี่ยวกับแผนการทางทหารครั้งนั้นของสหรัฐ ไปยังอีกห้องสนทนาหนึ่งของซิกนัล ซึ่งผู้ที่อยู่ในห้องสนทนาที่สองรวมถึง นางเจนนิเฟอร์ รอเชต ภรรยาของเฮกเซธ ซึ่งทำงานในแวดวงสื่อสารมวลชน นายฟิล เฮกเซธ น้องชายของเฮกเซธ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ประสานงานในกระทรวงกลาโหม และนายทิม พาลาทอร์ ทนายความของเฮกเซธ

อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายมองว่า สิ่งที่เฮกเซธทำมาตลอดตั้งแต่วันแรกจนถึง ณ เวลานี้ ยังไม่ใช่การบริหารกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นหนึ่งใน “กระทรวงเกรดเอ” ของสหรัฐ และผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ อยู่ในลำดับที่ 6 ของการสืบทอดตำแหน่งประธานาธิบดี แต่เป็นเพียง “การทำกิจกรรม” ให้เกิดขึ้นตามคำสั่งและความต้องการของผู้นำสหรัฐเท่านั้น และถือเป็นภาพสะท้อน ของการแต่งตั้งบุคคลตามแนวคิดทางการเมือง มากกว่าคุณสมบัติทางวิชาชีพหรือประสบการณ์ จึงไม่น่าแปลกใจ ที่จะมีเรื่องลักษณะนี้เกิดขึ้น
แม้จนถึงตอนนี้ ทรัมป์กล่าวว่า “ยังคงมีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยม” กับเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงทุกคน แต่น้อยคนนักที่จะทราบอย่างแท้จริงว่า ผู้นำสหรัฐมีความเห็นที่แท้จริงอย่างไร “ในเบื้องหลัง” หรือจะปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามหยุดวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ไปเอง ต่อให้เฮกเซธหลีกเลี่ยง “การร่วมแสดงความรับผิดชอบ” ต่อเรื่องนี้ไปได้แต่เส้นทางในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมให้ครบ 4 ปี อาจไม่ราบรื่นเสียแล้ว.
ภัทราพร ไพบูลย์ศิลป
เครดิตภาพ : AFP