ซึ่งปเรตร์ ได้เล่าถึงวัดเก่าแห่งนี้ว่า “ วัดดอยข่อยเขาแก้ว จังหวัดตาก เป็นโบราณสถานที่มีความเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ ได้โปรดฯ ให้ขึ้นไปชำระความที่หัวเมืองฝ่ายเหนือ ผลการปฏิบัติงานที่พอพระราชหฤทัย จึงทรงตั้งเป็นหลวงยกกระบัตร ช่วยราชการพระยาตาก และได้รับแต่งตั้งให้เป็น เจ้าเมืองตาก และพระยาวชิรปราการ เจ้าเมืองกำแพงเพชร ตามลำดับ ก่อนพระองค์จะลงไปป้องกันกรุงศรีฯ จากพม่า”

“วัดดอยเข่าแก้วคือสถานที่ที่ทรงเสี่ยงทายพระบารมี พระยาตากได้อธิษฐานต่อหน้าระฆังแก้วว่า หากมีบุญญาบารมีถึงขั้นบรมสุขแล้ว ก็ขอให้ไม้เคาะระฆังที่ขว้างออกไปกระทบจุดคอดของถ้วยแก้วให้แตกโดยไม่ทำลายตัวถ้วย เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นจริงตามที่ทรงอธิษฐานอย่างอัศจรรย์ หลังจากที่พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้ากรุงธนบุรี ก็ได้เสด็จกลับมายังวัดแห่งนี้และตรัสยืนยันเรื่องดังกล่าวกับพระสงฆ์ ตามบันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี”

“นอกจากเรื่องราวเกี่ยวกับการเสี่ยงทายพระบารมีแล้ว บริเวณวัดยังเคยมีการขุดค้นทางโบราณคดี พบโครงกระดูกมนุษย์ ภาชนะดินเผา เครื่องมือโลหะ และหลักฐานการตั้งถิ่นฐานในยุคก่อนประวัติศาสตร์มีอายุราว 2,000 ปี ยิ่งสะท้อนถึงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของพื้นที่แห่งนี้ ปัจจุบัน น่าเสียดายที่วัดดอยข่อยเขาแก้วอยู่ในสภาพทรุดโทรมและถูกบุกรุกจากสิ่งปลูกสร้างที่ไม่เหมาะสมในหลายจุด ขาดการดูแลตามหลักการอนุรักษ์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง” นายปเรตร์ กล่าว
เนื่องจากเป็นศาสนสถานที่ถูกทิ้งร้าง ทำให้เกิดเหตุการณ์เป็นคดีความ เพราะมีผู้บุกรุก โดยนายอรรณพ บุญสว่าง “ทนายคดีเงินทอนวัด” เล่าถึงเรื่องนี้ว่า นายสมบูรณ์ ปันคำ กับพวก บุกรุกเข้าไปอาศัยอยู่ที่วัดดอยข่อยเขาแก้ว( วัดร้าง) ซึ่งวัดอยู่ในความดูแลของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ( พศ.) และได้ฟ้องร้องสำเร็จไปรอบหนึ่ง ซึ่งตั้งแต่ปี พ.ศ.2552 ถึง 21 ก.ย.2554 นายสมบูรณ์ ปันคำ กับพวก ได้บุกรุกวัดดอยข่อยเขาแก้ว พศ.จึงดำเนินคดี ต่อศาลจังหวัดตาก เป็นคดีหมายเลขดำที่ 934/2554 และคดีหมายเลขแดงที่ 777/2555 วันที่ 14 สิงหาคม 2555 ศาลจังหวัดตามมีคำพิพากษาลงโทษ นายสมบูรณ์ ปันคำ ให้จำคุก 6 เดือน 15 วัน ปรับ 2,100 บาท รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 2 ปี

แต่จากนั้น นายสมบูรณ์ไปอุปสมบทเป็นพระภิกษุสังกัดวัดหัวหิน(วัดพระนารายณ์) และกลับมาครอบครองพักอาศัยในบริเวณวัดดอยข่อยเขาแก้วอีก แม้เจ้าคณะตำบลหนองบัวเหนือ จะมีคำสั่งให้ยกเลิกการแต่งตั้งพระสมบูรณ์ วรธมฺโม เป็นผู้ดูแลโบราณสถานวัดดอยข่อยเขาแก้ว ตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2565 แล้วก็ตาม แต่ก็ยังบุกรุกวัด แถมไปเรียกขานสถานที่ขึ้นใหม่ เป็นชื่อ “วัดพระเจ้าตากสิน” และแสดงตนเป็นเจ้าอาวาส ต่อสาธารณชน สื่อออนไลน์ จัดกิจกรรมงานส่งเสริมประเพณีอุปสมบทหมู่ เรี่ยไร รับบริจาค

ทนายอรรณพชี้ว่า “การที่ภิกษุกระทำการดังกล่าว เข้าข่ายเป็นการบุกรุกธรณีสงฆ์ศาสนสมบัติกลาง(วัดร้าง) สร้างสิ่งก่อสร้างโดยมิได้รับอนุญาตจาก พศ. และกรมศิลปากร ปล่อยปละละเลยให้มีการก่อสร้างทำลายโบราณสถาน ทำลายภูมิทัศน์ โบราณสถาน โดยมิได้คำนึงถึงความเสียหายต่อโบราณสถานซึ่งเป็นสมบัติของชาติ ตาม พ.ร.บ.โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2535มาตรา 7 ทวิ ห้ามมิให้ผู้ใดปลูกสร้างอาคารตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการก่อสร้างอาคาร ภายในเขตของโบราณสถาน ซึ่งอธิบดีได้ประกาศขึ้นทะเบียนไว้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากอธิบดี

ประกอบมาตรา 10 ห้ามมิให้ผู้ใดซ่อมแซม แก้ไขเปลี่ยนแปลง รื้อถอน ต่อเติม ทำลาย เคลื่อนย้าย โบราณสถานหรือส่วนต่างๆ ของโบราณสถาน หรือขุดค้นสิ่งใดๆ หรือปลูกสร้างอาคารภายในบริเวณโบราณสถาน เว้นแต่จะกระทำตามคำสั่งอธิบดีหรือได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากอธิบดี และถ้าหนังสือนั้นอนุญาตนั้นกำหนดเงื่อนไขไว้ประการใดก็ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขนั้นด้วย ซึ่งมีบทลงโทษ ตามมาตรา 32 ผู้ใดบุกรุกโบราณสถาน หรือทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งโบราณสถานมีโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี หรือปรับไม่เกินเจ็ดแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”

ทนายอรรณพชี้ว่า “กรณีนี้ต้องดำเนินการข้อหาทำเพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง บิดเบือนประวัติศาสตร์ หลอกลวงประชาชน ผิดตามพระธรรมวินัย การซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายเกินกว่า 5 มาสก ถือเป็นอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระสงฆ์แล้ว การใช้สื่อสาธารณะของพระสมบูรณ์หรือนายสมบูรณ์ ไม่ได้บรรยายข้อธรรมตามหลักพระไตรปิฎกแต่อย่างใด แต่กลับมีพฤติกรรม สร้างความเข้าใจผิด บิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อแสดงว่าตนมีอำนาจปกครองโบราณสถานวัดดอยข่อยเขาแก้ว เผยแพร่ผ่านสื่อออนไลน์ ซึ่งเป็นการทำผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 มาตรา 14 ( 1 )
“และยังพบว่า พระสมบูรณ์ มีสังกัดอยู่วัดหัวหิน(วัดพระนารายณ์) แต่ได้มาจำพรรษา พำนักอยู่ ณ วัดดอยข่อยเขาแก้ว โดยไม่มีอำนาจจะเข้ามาพักอาศัย เมื่อเจ้าคณะตำบลมีคำสั่งให้กลับไปสังกัดวัดหัวหิน(วัดพระนารายณ์) ตามเดิม กลับเพิกเฉยไม่ยอมกลับสังกัด เป็นพฤติการณ์ของภิกษุ ในลักษณะไม่ปรากฏว่าสังกัดอยู่วัดใดวัดหนึ่งแน่ชัด เที่ยวเร่ร่อน สร้างความแตกแยกในสังคม อาศัยความตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 27 (2),(3),(4 ) และกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 21 ว่าด้วยการให้พระภิกษุสละสมณเพศ ข้อ 3(2) ความว่า ในกรณีพระภิกษุรูปใด ไม่สังกัดอยู่วัดใดวัดหนึ่ง หรือไม่มีวัดอยู่เป็นหลักแหล่ง ให้พระภิกษุผู้ดำรงตำแหน่งปกครองวัดหรือพระภิกษุผู้ดำรงตำแหน่งปกครองคณะสงฆ์ในท้องที่ที่พบพระภิกษุรูปนั้น มีอำนาจหน้าที่วินิจฉัยให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศเสียได้”
“ พศ.ต้องดำเนินการเรื่องนี้ ทั้งด้านกฎหมายสงฆ์ รับเรื่องร้องเรียนและประสานหน่วยราชการ ประสานกับคณะสงฆ์ในการลงนิคหกรรม ตรวจตราถวายคำแนะนำ แก่พระภิกษุ สามเณร ที่มีอาจาร ( ความประพฤติ ) ไม่สมควรแก่สมณวิสัย คุ้มครองพระพุทธศาสนาในฐานะเลขานุการมหาเถรสมาคม มีหน้าที่โดยตรงในการดูแลศาสนสมบัติกลาง (วัดร้าง) ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ มาตรา 32 ทวิ วัดใดเป็นวัดร้างที่ไม่มีพระภิกษุอยู่อาศัย ในระหว่างที่ยังไม่ยุบเลิกวัด พศ.ต้องปกครองดูแลรักษาวัดนั้น รวมทั้งที่วัด ที่ธรณี สงฆ์และทรัพย์สินของวัดนั้นด้วย การยกวัดร้างขึ้นเป็นวัดมีพระภิกษุอยู่จำพรรษา ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ที่กำหนดในกฎกระทรวง”

ทนายอรรณพเล่า ถึงความคืบหน้าล่าสุดของเรื่องนี้ว่า เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2563 พศ. มีหนังสือถึง ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก ว่าได้ถวายคำร้องเรียนของชาวบ้านไปยังเจ้าคณะจังหวัดตาก เพื่อพิจารณาและให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดตากประสานงานรายงานกลับให้ พ.ศ. แต่เรื่องกลับเงียบไป
แต่ปรากฏว่า เดือนมีนาคม 2568 เจ้าคณะจังหวัดตาก ได้นำเสนอคณะกรรมการพิจารณางบประมาณศาสนสมบัติกลางประจำ (พศป.) เพื่อขอยกวัดดอยข่อยเขาแก้ว(วัดร้าง) จังหวัดตาก ขึ้นเป็นวัดที่มีพระภิกษุจำพรรษา คณะกรรมการ พศป ได้มีมติให้ชะลอไว้ก่อนเนื่องจากมีผู้คัดค้าน แต่อนุญาตให้จัดกิจกรรมบวช ทำบุญ เรี่ยไร ระหว่างวันที่ 15-27 เมษายน 2568 ได้
“พระสมบูรณ์หรือนายสมบูรณ์ เคยถูกดำเนินคดี แต่กลับบวชและกลับไปยังโบราณสถานอีกครั้ง แล้วยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นฐานานุกรม ‘พระปลัด’ ทั้งที่ยังเป็นพระบวชใหม่ และบุกรุก ก่อสร้างเพิ่มเติม บนโบราณสถานวัดดอยข่อยเขาแก้ว เรื่อยมาจนปัจจุบัน” ซึ่งเรื่องนี้ทางนายปเรตร์ นายอรรณพ และนายจาตุรงค์ จงอาษา นักวิชาการอิสระด้านพระพุทธศาสนา ได้ยื่นหนังสือต่อนายบุญเชิด กิตติธรางกูร รอง ผอ.พศ. รับเรื่องไว้ดำเนินการต่อไป
“นอกจากวัดดอยข่อยเขาแก้ว ยังมีอีกหลายจุดในเมืองไทย ที่เป็นวัดไกลหูไกลตาอำนาจรัฐส่วนกลาง เช่น วัดพระธาตุศรีสองรัก จ.เลย วัดติโลกอาราม จ.พะเยา ซึ่งต่อมาอาจเกิดพฤติกรรมเดียวกันนี้ได้ คือมีผู้เข้าไปอยู่แล้วแสวงหาผลประโยชน์ อย่างกรณีวัดดอยข่อยเขาแก้ว มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ แต่เป็นวัดร้าง มีหลักเกณฑ์การยกเป็นวัดที่มีพระภิกษุจำพรรษา แต่เมื่อไม่ได้ทำตามหลักเกณฑ์ ก็เสี่ยงต่อการใช้วัดแสวงหาผลประโยชน์” นายจาตุรงค์ กล่าว

ก็จับตาดูกิจกรรมจัดงานบวช เรี่ยไรเงินบริจาคในเดือนเมษายน ที่สุดแล้วจะจัดได้หรือไม่อย่างไร เมื่อมีกลุ่มคนตัวเล็กๆ พยายามเคลื่อนไหวให้เรื่องนี้ถูกต้อง โดยผ่านการร้องเรียนต่อผู้มีอำนาจรับผิดชอบโดยตรง
หวังทั้งการให้เรื่องนี้คลี่คลายได้โดยไม่มีใครยึดศาสนสถาน หรือนำไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวได้ ยิ่งศาสนสถานนั้นมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ก็เกรงว่าต่อไปจะมีพวกอวดอุตริไปกระทำการอะไรไม่เหมาะสม จึงต้องให้เกิดการคุ้มครอง และหวังว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นหรือการฉุดให้สังคมเกิดความคิดในการดูแล พิทักษ์ศาสนสมบัติต่อไป.
………………………………………………………
คอลัมน์ : ที่เห็นและเป็นอยู่
โดย “บุหงาตันหยง”