ไทยเป็นประเทศที่พึ่งพารายได้จากการส่งออกเป็นหลัก จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ย่อมได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงนี้ ทำให้หลายฝ่ายมองว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 นี้จะไปไม่ถึงฝั่งฝันที่ 3% แน่นอน
ที่สำคัญ!! สารพันปัญหา ยังตามมาเป็นอีกหลายระลอก จนทำให้ใครหลายคนเชื่อว่า “เผาจริง” กำลังจะเกิดขึ้น บรรดาธุรกิจต่างหยุดชะงัก รอผลการเจรจาที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์นี้
การดำเนินนโยบายภาษีตอบโต้ ที่เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ (21 เม.ย.68) ก็เกือบ 20 วัน แต่ดูเหมือนว่า เรื่องราวนี้เกิดขึ้นมานานหลายปี
ปัญหาอยู่ที่ว่า…จากนี้ไป ประชาชนคนไทยต้องใช้ชีวิตอย่างไร?
เพราะอย่าลืมว่า ทุกวันนี้ ประชาชนคนไทยเกินกว่า 60% ของคนทั้งประเทศ มีรายจ่ายมากกว่ารายได้ ขณะที่หนี้ครัวเรือน ล่าสุด อยู่ที่ 16.4 ล้านล้านบาท หรือ 88% ต่อจีดีพี
ดังนั้น!! จากนี้ไปรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำรัฐบาลต้องโชว์ฝีมือให้เห็นว่า คนไทยทั้งประเทศจะรอดพ้นจากวิกฤตินี้ได้หรือไม่
สิ่งแรกที่รัฐบาลเตรียมดำเนินการ คือ…การเพิ่มกระสุน ด้วยการขยายเพดานหนี้สาธารณะ เพื่อนำมาดูแลเศรษฐกิจในประเทศไม่ให้หยุดหมุน ให้มีแรงทัดทานกับพายุหมุนจากต่างประเทศให้ได้
ปัจจุบันหนี้สาธารณะล่าสุด เมื่อสิ้นเดือนก.พ.68 อยู่ที่ระดับ 64.21% จากกรอบที่กำหนดไว้ที่ 70% โดยรัฐบาลมีแนวโน้มจะขยายกรอบเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 5%
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อเปิดทางให้มีการใช้จ่ายได้มากขึ้น โดยเฉพาะในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ที่แม้แต่ฝ่ายค้านเองก็สนับสนุนให้กู้เงินเพิ่มเพื่อมาดูแลเศรษฐกิจในประเทศ
แต่!! การกู้เงินเพิ่มครั้งนี้ ต้องกู้เพื่อนำเงินมาใช้ในโครงการที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง ไม่ใช่กู้เงินมาเพื่อใช้จ่ายแบบ “อีลุ่ยฉุยแฉก” เหมือนที่ผ่านมาอีก
แน่นอนว่าการกู้เงินเพิ่มโดยการขยายกรอบหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นครั้งนี้ ย่อมส่งผลต่อ “ความเชื่อมั่น” เพิ่มขึ้นไปอีกโดยเฉพาะในตลาดเงิน รวมถึงอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลที่ย่อมต้องปรับเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
และ… แน่นอน!! ย่อมส่งแรงกระแทกมาถึงตลาดหุ้นไทยที่เวลานี้กำลังต่ำเตี้ยติดดินด้วยเช่นกัน
ในความเป็นจริงแล้ว หนี้มากขึ้นถือว่าไม่ใช่ปัญหาใด ๆ เลย ถ้าเศรษฐกิจโตเร็วกว่าอัตราการกู้ แต่ถ้าเศรษฐกิจยังโตต่ำแบบนี้ ดังนั้นการเพิ่มเพดานหนี้ อาจกระทบเครดิตเรทติ้งของประเทศ และทำให้ต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้นในระยะยาวได้
ขณะเดียวกันการเพิ่มเพดานหนี้อาจทำให้ต่างชาติเริ่มตั้งคำถามกับ “วินัยการคลัง” ของไทย โดยเฉพาะในช่วงที่หลายประเทศเริ่มลดหนี้หลังผ่านพ้นโควิด-19
“พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกฯและรมว.คลัง บอกไว้ก่อนหน้านี้ว่า การพิจารณาขยับเพดานหนี้สาธารณะ ต้องดูด้วยว่า การตัดสินใจนำเงินไปลงทุนต้องเป็นโครงการที่เป็นประโยชน์อย่างคุ้มค่า
ที่สำคัญ!! ต้องเป็นโครงการที่เป็นประโยชน์อย่างคุ้มค่า และสร้างอนาคตให้กับประเทศ โดยเป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เพื่อสร้างการจ้างงาน เพื่อรับมือปัญหาจากเศรษฐกิจโลก
นี่คือ…คำมั่นสัญญาที่แม้ยังไม่ได้แปรออกมาเป็นนโยบายอย่างเป็นทางการ แต่ก็ถือว่าเป็น “คำมั่น” ที่รัฐบาลต้องตระหนัก!!
รัฐบาลกำลังอยู่ในจุดหัวเลี้ยวหัวต่อ ว่า… จะใช้นโยบายการคลัง นโยบายการเงินอย่างไร? เพื่อ “กระตุ้นเศรษฐกิจ” โดยที่เสถียรภาพในระยะยาวต้องไม่สั่นคลอน
อย่าลืมว่า ณ เวลา นี้ โลกภายนอกที่ไม่สามารถกำกับดูแลได้ กำลังซับซ้อนขึ้นทุกวัน ท่ามกลางสงครามการค้าที่กำลังปะทุขึ้น
การหวังเพียงแต่ฝีมือของรัฐบาล อาจเป็นเพียงส่วนหนึ่ง แต่ขณะเดียวกันบทบาทของภาครัฐในทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจก็ต้องเข้มแข็งด้วยเช่นกัน เพื่อให้คนไทยทั้งชาติอยู่รอด!!
……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”