ประธานาธิบดีประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน เดินสายเยือน 3 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เริ่มจากเวียดนาม ระหว่างวันที่ 14-15 เม.ย. ตามด้วยมาเลเซีย ระหว่างวันที่ 15-17 เม.ย. และปิดท้ายด้วยกัมพูชา ระหว่างวันที่ 17-18 เม.ย. ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ สีเยือนเวียดนามครั้งล่าสุด เมื่อเดือนธ.ค. 2566 และทั้งสองประเทศยกระดับความร่วมมือ สู่การเป็น “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุม” ปัจจุบัน เวียดนามเป็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งนำเข้าสินค้าจากจีนมากที่สุด โดยมูลค่าอยู่ที่ 161,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 5.42 ล้านล้านบาท ) เมื่อปีที่แล้ว

อนึ่ง การเยือนเวียดนามของผู้นำจีนในครั้งนี้ เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดอย่างหนักทางการค้า ระหว่างสหรัฐกับจีน โดยจีนเป็นประเทศเดียวบนโลก ซึ่งรัฐบาลวอชิงตันบังคับใช้อัตราภาษีต่างตอบแทนอยู่ ณ ตอนนี้ ในอัตราอย่างน้อย 145% และจีนขึ้นภาษีตอบโต้สหรัฐ ในอัตราอย่างน้อย 125%

พล.ต.อ.โต เลิม เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ต้อนรับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ที่กรุงฮานอย

ส่วนอีก 75 ประเทศและดินแดนบนโลก “ได้รับการผ่อนผัน” ออกไปอีก 90 วัน จนถึงวันที่ 9 ก.ค. นี้ โดยในกลุ่ม 3 ประเทศที่ผู้นำจีนเยือนอย่างเป็นทางการในครั้งนี้ กัมพูชาเผชิญกับอัตราเรียกเก็บ 49% เวียดนามเผชิญกับอัตราเรียกเก็บ 46% และมาเลเซียเผชิญกับอัตราเรียกเก็บ 24%

ระหว่างการพบหารือกับคณะเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเวียดนาม นำโดยพล.ต.อ.โต เลิม เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม และพล.อ.เลือง เกื่อง ประธานาธิบดีเวียดนาม ผู้นำจีนเรียกร้องทั้งสองประเทศหัวหน้าเข้าหากัน และจับมือกัน “เพื่อรักษาเสถียรภาพของกลไกลการค้าเสรีในแบบพหุภาคี และทุกขั้นตอนของห่วงโซ่อุปทาน”

สีกล่าวต่อไปว่า “ตลาดขนาดมหึมาของจีนเปิดกว้างสำหรับเวียดนามเสมอ” ขณะเดียวกัน “จีนกับเวียดนามควรเพิ่มการให้ความสำคัญกับการดำเนินนโยบายเชิงยุทธศาสตร์ และร่วมกันต่อต้านการข่มเหงรังแกฝ่ายเดียว” พร้อมทั้งเสริมว่า “เรือลำเล็กที่มีใบเรือเพียงใบเดียว ยากที่จะต้านทานคลื่นลมแรงและพายุ มีเพียงการร่วมแรงร่วมใจเท่านั้น ซึ่งจะสามารถทำให้เรือลำเล็กนี้แล่นได้อย่างมั่นคง และเดินทางไปได้ไกล”

แน่นอนว่า ทั้งสามประเทศปูพรมแดงเพื่อต้อนรับประธานาธิบดีจีนอย่างยิ่งใหญ่ อย่างไรก็ตาม ในความนอบน้อมต่อพี่ใหญ่แห่งทวีปเอเชีย ย่อมต้องมีความระมัดระวังเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้กลายเป็นการสื่อสารออกไปให้อีกฝ่ายมองเป็นว่า “เข้าข้างจีน” ยิ่งในเวลาที่อยู่ในยุครัฐบาลสหรัฐของทรัมป์ด้วยแล้ว ทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลงและอาจมีอะไรเกิดขึ้นได้เสมอ ต่อให้อยู่ในช่วงที่รัฐบาลวอชิงตันระงับการเรียกเก็บภาษีต่างตอบแทนออกไปอีก 90 วัน จนถึงวันที่ 9 ก.ค. นี้ “เพื่อเปิดโอกาส” เจรจากับทุกประเทศและภูมิภาคก็ตาม

ข้อมูลจากสำนักงานศุลกากรแห่งชาติจีนระบุว่า จีนเป็นฝ่ายเกินดุลการค้ากับเวียดนามราว 1.6 เท่า และหากรวมในฐานะสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ( อาเซียน ) ประชาคมแห่งนี้เป็นตลาดส่งออกขนาดใหญ่ที่สุดของสินค้าจากจีน ตั้งแต่ปี 2566 แซงหน้าสหรัฐและสหภาพยุโรป ( อียู )

มูลค่าการค้าระหว่างจีนกับเวียดนามเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า ระหว่างปี 2560-2567 ส่งผลให้จีนเป็นประเทศคู่ค้านใหญ่ที่สุดของเวียดนาม โดยกลุ่มทุนจากจีนเข้ามาลงทุนอย่างหนักและต่อเนื่องในเวียดนาม ซึ่งมีการขยายตัวด้านอุตสาหกรรมมากขึ้น และกลายเป็นฐานการผลิตสินค้าหลายชนิดก่อนส่งออกต่อไปยังสหรัฐด้วย

นอกจากนี้ จีนยังเข้ามามีส่วนกับการพัฒนาโคงสร้างพื้นฐานหลายอย่างในเวียดนาม รวมถึงการที่รัฐบาลฮานอยวางแผนกู้เงินจากรัฐบาลจีน 8,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 278,083.20 ล้านบาท ) เพื่อนำไปใช้เป็นทุนสำหรับโครงการสร้างทางรถไฟสายใหม่ ความยาว 391 กิโลเมตร เชื่อมระหว่างจังหวัดหล่าวกาย ที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ผ่านกรุงฮานอย กับเมืองไฮฟอง ซึ่งเป็นที่ตั้งของท่าเรือขนาดใหญ่ที่สุด ในภาคเหนือของเวียดนาม และอาจต่อเนื่องไปยังพื้นที่บางส่วนทางตอนใต้ของจีนในอนาคต

ในส่วนของมาเลเซียนั้น หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ผู้นำจีนเดินทางไปเยือน น่าจะเป็นการที่รัฐบาลกัวลาลัมเปอร์อยู่ในฐานะประธานสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ( อาเซียน ) ประจำปีนี้ อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ผู้นำมาเลเซีย มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับ การไหลทะลักของสินค้าราคาถูกจากจีนเข้ามาในประเทศ ซึ่งแน่นอนว่า ต้องมีการเจรจากับรัฐบาลปักกิ่งอย่างใกล้ชิด

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน จับมือกับนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ผู้นำมาเลเซีย หลังร่วมกันเป็นสักขีพยาน การลงนามในช้อตกลงความร่วมมือระหว่างสองประเทศ

อย่างไรก็ตาม การที่อันวาร์กล่าวว่า ยังไม่เคยสนทนาทางโทรศัพท์อย่างเป็นทางการกับทรัมป์ และการที่มาเลเซียเป็นประเทศซึ่งมีจุดยืนชัดเจน ว่าต่อต้านสงครามในฉนวนกาซา สวนทางกับที่สหรัฐสนับสนุนอิสราเอล และการที่ผู้นำมาเลเซียเคยกล่าวด้วยว่า “จีนไม่ใช่แค่ยักษ์ใหญ่จากตะวันออก แต่ยังเป็นกระบอกเสียงให้กับกลุ่มประเทศโลกใต้” หรือกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา

ยิ่งไปกว่านั้น มาเลเซียเป็นประเทศในอาเซียน ซึ่งนำเข้าสินค้าจากจีนมาเป็นอันดับสองรองจากเวียดนาม โดยมูลค่าอยู่ที่ 101,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 3.4 ล้านล้านบาท ) เมื่อปี 2567 ถือว่า “มีเหตุผลเพียงพอ” ที่ผู้นำจีนต้องเดินทางมาคุยกับมาเลเซียด้วยตัวเอง หากมองในมิติของสงครามการค้า ซึ่งสหรัฐกำลังกดดันจีนอย่างหนักจากทุกทิศทาง

ส่วนกัมพูชานั้น เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า คือพันธมิตรใกล้ชิดที่สุดของจีนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การมาเยือนของประธานาธิบดีจีนเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 2559 ย่อมมีความสำคัญอย่างมากสำหรับรัฐบาลพนมเปญ ในแง่ของสงครามการค้า ที่กัมพูชาเผชิญกับอัตราภาษีต่างตอบเทน 49% สูงที่สุดในบรรดาสมาชิกอาเซียนทุกประเทศ

อีกด้านหนึ่ง มีการตั้งคำถาม การวิเคราะห์ไปต่าง ๆ นานา และการวิพากษ์วิจารณ์ ว่าเพราะเหตุใดสีจึงไม่เยือนไทยด้วย ทั้งที่ปีนี้ครบรอบ 50 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ ซึ่งเหตุผลที่แท้จริง คนนอกยากที่จะทราบ ว่าผู้นำจีนและทีมที่ปรึกษา มีความคิดเห็นอย่างไร จะเกี่ยวข้องกับปัญหาทางการเมือง และเรื่องวุ่นวายมากมายภายในไทยด้วยจริงหรือไม่

พระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี แห่งกัมพูชา ทรงรับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ที่ท่าอากาศยานานาชาติพนมเปญ

หากจะมองไปที่การครบรอบปีสำคัญทางการทูต เพราะปีนี้จีนและอินโดนีเซียเฉลิมฉลองการสถาปนาความสัมพันธ์ครบรอบ 75 ปี และอินโดนีเซียเป็นประเทศซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในอาเซียนด้วย แต่ก็ไม่ได้เป็นจุดหมายการเยือนของผู้นำจีนในครั้งนี้เหมือนกัน

แต่หากมองในมุมของบรรยากาศตึงเครียดทางการค้าที่กำลังดำเนินอยู่ในเวลานี้ การเยือนเวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชา ของผู้นำจีน น่าจะเป็นเรื่องของ “จังหวะเวลา” ขณะที่คู่แข่งเดินหน้าชนอย่างแข็งกร้าว แต่กลยุทธ์ที่ปล่อยออกมานั้น พร้อมที่จะย้อนศรกลับไปทำลายตัวเองได้ทุกเมื่อ ทั้งสามประเทศมีสิ่งที่ถือเป็น “ส่วนได้ส่วนเสีย” กับจีน ทำให้สิ่งที่จีนน่าจะต้องการทำมากที่สุดตอนนี้ อย่างน้อยคือการป้องกันและหลีกเลี่ยง “ความผิดพลาดและความขัดแย้งที่ไม่จำเป็น”

ทั้งนี้ทั้งนั้น การที่สีกล่าวว่า พร้อมยืนหยัดเคียงข้างทุกประเทศในภูมิภาคแห่งนี้ ในการเผชิญหน้ากับกระแสการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย และการเผชิญหน้าทางภูมิรัฐศาสตร์ ตลอดจนการร่วมกันต่อต้านนโยบายการค้าแบบผูกขาด และการใช้มาตรการกีดกันทางการค้า และ “การร่วมมือกันจะช่วยปกป้องอนาคตและความรุ่งเรือง ให้กับครอบครัวเอเชีย” เป็นหนึ่งในคำตอบที่ชัดเจนแล้วว่า ผู้นำจีนคาดหวังอะไรจากการเยือนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในรอบนี้.

ภัทราพร ไพบูลย์ศิลป

เครดิตภาพ : AFP