เขย่าขวัญกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรงครั้งแรกของประเทศไทย ผลพวงมาจากการเลื่อนตัวของรอยเลื่อนสะกายขยับที่เมืองมัณฑะเลย์ประเทศเมียนมา ทำเอาตึก สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ที่กำลังก่อสร้างตึกสูง 34 ชั้น ถล่มลงมากลายเป็นโศกนาฏกรรมมี ผู้เสียชีวิต บาดเจ็บและสูญหายจำนวนนับร้อยราย

ท่ามกลางคำถามว่าความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนคนไทยอยู่ที่ไหน โดยเฉพาะการถล่มของตึกสตง. แห่งใหม่ที่ถล่มเพียงตึกเดียว สะท้อนถึงการก่อสร้างที่ไร้มาตรฐาน และเจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐมีธรรมาภิบาลหรือไม่
งานนี้“นายกฯ อิ๊งค์”ควันออกหู บี้หน่วยงานรัฐเร่งสอบผลให้รู้ให้ได้ว่าสาเหตุเกิดจากอะไร ผิดพลาดตรงไหน ใครเป็นผู้รับผิดชอบ ขีด 7 วันโดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เป็นประธานคณะกรรมการสืบหาต้นเหตุของตึกก่อสร้างสตง.ถล่มต้องหาสาเหตุเพื่อทำให้ข้อเท็จจริงปรากฏมีคำตอบให้กับประชนและโลก โดยให้เน้นไปที่ผู้ออกแบบและผู้คุมงานและผู้ก่อสร้าง หาผู้รับผิดชอบให้ได้ มิฉะนั้นประเทศไทยจะอยู่ยาก เพราะนี่คือภาพลักษณ์ของประเทศไทย จึงต้องมีผู้รับผิดชอบ เพื่อแก้ไขปัญหาระยะยาวต่อไป
ล่าสุดเบื้องต้นผลสอบออกมาแล้วว่าในสัญญาระบุว่าเป็นบริษัทร่วมค้า ระหว่างไทยกับจีน นายกฯไล่บี้ต่อให้ตรวจสอบเชิงลึก โดยเฉพาะเหล็กเส้นที่ผลออกมาไม่ได้มาตรฐาน และได้กระจายไปยังโครงการอื่น ๆ ซึ่งเป็นเรื่องของความปลอดภัย จะต้องจริงจังในเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ แม้ที่เกิดขึ้นกับตึกเดียว แต่เป็นภาพพจน์ของประเทศไทยเสียหายไปแล้วและยืนยันว่า “ต้องไปไล่บี้ให้ได้ไม่ว่าใครจะเป็นผู้กระทำผิดก็ต้องรับผิดชอบทั้งคู่ต้องรับผิดชอบเต็ม 100 ทั้งหมดโครงการนี้เป็นงบประมาณที่เยอะมาก”

“นายกฯอิ๊งค์”ยังระบุอีกว่า ได้ดูคลิปตอนตึกถล่มหลายคลิปหลายมุม และตนเองก็ผ่านการสร้างตึกมาในภาคธุรกิจ ไม่เคยเห็นปัญหาตึกถล่มแบบนี้ได้ เพราะฉะนั้นขอให้ไปดูตึกอื่นๆ โดยต้องไปดูทั้งโครงสร้างตั้งแต่การก่อสร้างจนแล้วเสร็จ เพราะความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ การก่อสร้างตึกมีข้อกฎหมายอยู่แล้วว่าทุกตึกใน กทม.ต้องรองรับแผ่นดินไหวได้ระดับหนึ่ง จากเหตุที่เกิดขึ้นตึกส่วนใหญ่ไม่กระทบ มีแค่เรื่องลิฟต์ที่ได้รับผลกระทบ
ทำให้“ดีเอสไอ ”รับลูกทันทีรับเป็นคดีพิเศษตรวจสอบการถือหุ้นคนไทยเป็นนอมินีทุนจีนหรือไม่ล่าสุดพบมีนอมินี มากถึง 17 บริษัท ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ตรวจสอบพบว่าบริษัทดังกล่าวรับงานส่วนราชการไปทั้งหมด 11 งาน ซึ่งมี 10งานที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ส่วนใหญ่เป็นหน่วยงานราชการ
ขณะที่กระทรวงอุตสาหกรรมขึงขังเอาจริงกับบริษัทที่ไม่ได้มาตรฐาน“เอกณัฏ พร้อมพันธุ์”รมว.อุตสาหกรรมสั่งลุยจริงไม่จัดฉาก ส่งทีมสุดซอยตรวจสอบเหล็กจนพบว่า ไม่ได้มาตรฐานหลายโรงงาน เตรียมส่งข้อมูลให้พนักงานสอบสวน เพื่อประกอบสำนวนการสอบสวน
เรื่องนี้ได้ต่อสู้มาตลอดไม่ใช่เรื่องเหล็กอย่างเดียว ยังมีเรื่องสายไฟที่ไม่ได้มาตรฐานด้วย โดยพยายามเรียกเก็บของที่ไม่ได้มาตรฐาน ที่ผ่านมากระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการตรวจและปิดโรงงานเหล็กไปแล้ว 7 โรงงาน อยู่ระหว่างการสอบสวนอีก 3 โรงงาน มูลค่า 400 ล้าน อีกนัยคือมีอุตสาหกรรมธุรกิจศูนย์เหรียญที่มาอยู่ในประเทศแล้วไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับไทย เป็นทุนต่างชาติ 100% จ้างงานต่างด้าว 100% ภาษีบางเจ้าไม่ต้องจ่ายและได้รับ BOI ด้วย
“เอกณัฏฐ์” บอกพร้อมลุยไฟ เพื่อประชาชนและผลประโยชน์ชาติ แม้รู้ว่าการทำเช่นนี้เจอแรงกดดันแน่นนอน จากการเข้ามานั่งทำงาน 6 เดือน เห็นบางเรื่องมีลักษณะการดำเนินงานเป็นกระบวนการ จึงไม่แปลกใจที่ถูกขู่ฆ่าและยังลามไปถึงเจ้าหน้าที่ ซึ่งก็ต้องให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ จึงต้องนำทีมไปเก็บหลักฐานเองทั้งหมด เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเจ้าหน้าที่ และก่อนหน้านี้ยังมีกลุ่มพยายามวิ่งเต้น ทุนทุ่มเงิน 300 ล้านบาทเพื่อขอให้ออกจากเก้าอี้รัฐมนตรีไม่ท้อขอลุยไฟต่อไปให้ถึงที่สุด
นับจากวันที่เหตุตึกสตง.ถล่มยังไม่เห็นการแสดงความรับผิดชอบใดๆ จากสตง. ซึ่งเป็นเจ้าของโปรเจกต์ จนโดนทัวร์ลงหนักลามไปถึงการแฉเรื่องการใช้โต๊ะ เก้าอี้ราคาแพงตัวละเกือบแสน และอื่นๆ ถือว่าเป็นโจทย์ที่ สตง.ที่ต้องเผชิญกับวิกฤติศรัทธาถูกสังคมตราหน้าเป็นหน่วยงานที่ตรวจสอบผู้อื่นแต่ตัวเองมีธรรมาภิบาล ตรงไปตรงมา ใช้งบประมาณแผ่นดินแบบคุ้มค่า หรือไม่

จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวนี้ ทำให้ “นายกฯอิ๊งค์” ต้องสวมบทเข้มจี้หน่วยงานเดินเครื่องเร่งจัดการทำระบบการเตือนภัยพิบัติ ประเทศไทยควรต้องมี “เซลล์บอร์ดแคสต์” เป็นสากล ขีดเส้นเดือนมิถุนายน ประชาชนในพื้นที่ที่มีเหตุจะต้องได้รับข้อความแจ้งเตือนภัย
แม้จะเป็นเรื่องวัวหายล้อมคอก ก็เป็นเรื่องต้องดำเนินการโดยเร็วและให้ครบวงจร เพื่อป้องกันเหตุร้ายแรง โดยเฉพาะระบบเตือนภัย เพื่อให้ประชาชนได้รู้ทันเหตุการณ์ร้าย ๆ ขณะเดียวกันประชาชนต้องมีสติ ไม่ตื่นตระหนก จะช่วยลดผลกระทบและความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ ตั้งสติให้ดีในการรับมือ

นอกจากเหตุการณ์นี้ประเทศไทยยังต้องเจอกับแผ่นดินไหวทางเศรษฐกิจอีกจาก“ทรัมป์”เอฟเฟกต์ โดย โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าแบบฐานขั้นต่ำในอัตรา 10% จากทุกประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการนี้ ซึ่งจะถูกเก็บภาษีในอัตรา 36% ส่งผลกระทบอุตสาหกรรมการส่งออกทุกภาคส่วนของไทยจะได้รับผลกระทบ
งานนี้ “ไหม” ศิริกัญญา ตันเจริญ สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน เสนอรัฐบาล และคณะทำงาน ผู้ทำหน้าที่เจรจาที่เพิ่งตั้งขึ้นว่า ต้องเรียกร้องให้ “ทรัมป์”มีการทบทวน โดยนำตัวเลขอื่นๆ ที่สหรัฐฯ ยังไม่นำมาคำนวณ เช่น ดุลบริการ ที่สหรัฐฯ ได้ดุลกับไทยอยู่แล้ว เรื่องนี้ก็ถือเป็นแผ่นดินไหวทางด้านเศรษฐกิจ ที่ไทยจะต้องรีบรับมือแก้ไขสถานการณ์ให้ทัน
เพราะจีดีพีไทยในปี 2568 ขึ้นอยู่กับผลของการเจรจา ขอให้รัฐบาลใช้การเจรจาอย่างเร่งด่วน และรัดกุม หากไม่ทำอะไรเลย หรือการเจรจาไม่เป็นผล จะกระทบกับมูลค่าส่งออก รวมมากกว่า 1% ทำให้จีดีพีอาจหดตัวมากกว่า 1% จนต่ำกว่าเป้า 2% ได้ สำหรับกลุ่ม สินค้าที่จะได้รับผลกระทบหนักคือ พวกอุปกรณ์สื่อสาร ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ ยางล้อ เครื่องใช้และอุปกรณ์ไฟฟ้า มิใช่เพียงภาคส่งออกเท่านั้น แต่การลงทุนบริษัทต่างๆหยุดชะงักด้วย

ที่สำคัญ“รัฐบาลแพทองธาร”เองตอนนี้พาคนไทยต้องเจอวิกฤติรุมเร้า ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครต่างคนต่างให้กำลังใจ เพื่อให้เดินหน้ากันต่อไปได้ ต้องพึ่งตัวเองดีกว่าหวังพึ่งคนอื่น วิกฤตครั้งนี้จะเป็นบทพิสูจน์“นายกฯ อิ๊งค์” จะนำพาประเทศไทยผ่านไปได้อย่างไร
จะวางมาตรการมาตรฐานของหน่วยงานราชการให้อยู่บนหลักนิติรัฐ นิติธรรม มีธรรมาภิบาลได้หรือไม่ เพื่อเป็นที่พึ่งให้กับคนไทยที่แท้จริง ที่สำคัญหากเจอเครือข่ายใกล้ตัวที่เชื่อมโยงกับการกระทำความผิดก็ต้องกล้าฟันไม่เลี้ยง อีกทั้งยังมีเรื่องสงครามเศรษฐกิจที่เป็นกับดักที่รออยู่ข้างหน้า

นอกจากนี้ยังมีวาระร้อนของตัวเอง การเร่งดันร่างพ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เข้าสภาปลุกแรงต้านของฝ่ายต้านคัดค้านอย่าง คปท. ที่ “จตุพร พรหมพันธ์”ถือธงนำประกาศลงถนนมีสายฮาร์ดคอเจ้าเดิมๆ ร่วมแจม อาทินพ.วรงค์ เดชกิจวิกรมขณะที่สภาเลื่อนถกเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ รอบรรจุเข้าวาระ 9 เม.ย. จนประชุมสภาฯปะทะกันเดือดระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาชน” เปิดศึกชิงจังหวะ เสนอญัตติเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์-แผ่นดินไหว ป่วนหนักจน”ประธานฯนอร์”วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาต้องเรียกตำรวจรัฐสภาดูแลความสงบในห้องประชุม ในที่สุดก็ได้มีการลงมติเห็นด้วยกับข้อเสนอพรรคเพื่อไทยด้วยคะแนน 225 เสียง
แต่งานนี้ก็ต้องจับตาดูว่าพรรคภูมิใจไทย จะเห็นด้วยร่วมมือกันผ่านไปสู่ชั้นกรรมาธิการศึกษาร่างพ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ได้หรือไม่ และสุดท้ายจะผ่านสภาเป็นกฎหมายได้หรือไม่ เพราะมีสัญญาณจากสว.ว่าไม่เห็นด้วย
ต่อจากนี้ไปก็ต้องจับตาดูละครการเมืองเป็นเรื่องของผลประโยชน์ จะตกถึงประชาชนและประเทศชาติ หรือสุดท้ายไปอยู่ที่นักการเมืองและกลุ่มทุนที่จ้องกันตาเป็นมัน.