ทั้งนี้ กับพฤติกรรมเชิงร้ายของคนในกลุ่ม LGBTQ+ บางส่วนนั้นที่เคยเกิดขึ้นแล้วก็มีหลากหลายรูปแบบ ก็เช่นเดียวกับพฤติกรรมบางคนในกลุ่มเพศอื่น ๆ มีทั้ง ใช้ความรุนแรง ทำผิดกฎหมาย ก่ออาชญากรรม หลอกลวงฉ้อโกง เกี่ยวข้องกับสิ่งผิดกฎหมาย ซึ่งถึงขั้นเป็นการ ตั้งแก๊ง ก็มี…

ปรากฏการณ์ร้าย” ในลักษณะนี้นั้น

บางกลุ่มเป็น “แก๊งอันธพาลมาเฟีย!!”

กับปรากฏการณ์นี้… “สังคมไทยมีปุจฉา” ซึ่งนักวิชาการ คือ ดร.รณภูมิ สามัคคีคารมย์ รองคณบดีฝ่ายวิชาการและสื่อสารองค์กร คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประธาน มูลนิธิเครือข่ายเพื่อนกะเทยเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้สะท้อนเรื่องนี้ผ่าน “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” โดย โฟกัสในส่วน “กะเทย” โดยระบุไว้ว่า… “มีสาเหตุ-มีปัจจัย”ทำให้เกิดขึ้น ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ เกิดการรวมกลุ่มตั้งแก๊งของคนข้ามเพศ-คนในกลุ่ม LGBTQ+ นั้น ส่วนหนึ่งมาจาก “วัฒนธรรมกลุ่มคนข้ามเพศ” ที่แตกแขนงย่อยเป็น“วัฒนธรรมตัวแม่” จากการมี“เป้าหมาย”เพื่อ“สร้างอำนาจควบคุมในกลุ่ม” ที่ตนอยู่

ดร.รณภูมิ สามัคคีคารมย์

ขยายความ “วัฒนธรรมตัวแม่” ที่เป็นปัจจัยกระตุ้นทำให้เกิดการ “รวมกลุ่มตั้งแก๊ง” ขึ้น จากที่ ดร.รณภูมิ ได้มีการสะท้อนเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่แล้วว่า… บางคนที่อยู่ในกลุ่มแก๊งนั้นอาจจะไม่ได้ต้องการเป็นเพียงแค่เพื่อน หรือสมาชิกของกลุ่ม แต่บางคนยังอยากที่จะก้าวสู่จุดสูงสุดของอำนาจในกลุ่ม “ต้องการเป็นตัวแม่” เพราะ “ต้องการเป็นผู้ควบคุมที่มีอำนาจเหนือทุกคนในกลุ่ม” ในขณะที่บางคนอาจจะไม่ชอบพฤติกรรมหรือรูปแบบการแสดงออกของกลุ่ม แต่ก็ต้องยอมเข้ากลุ่ม และยอมเป็นลูกน้องตัวแม่ เพื่อจะสร้างความมั่นใจปลอดภัยให้กับตัวเอง และเพื่อใช้ชีวิตได้ไม่ลำบากในพื้นที่ซึ่งแตกต่างจากที่เคยอยู่

บางคนอาจจะไม่เห็นด้วย ไม่ชอบ แต่ก็ต้องยอม เพราะอยากอยู่ในกลุ่ม แลกกับการไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยในการใช้ชีวิต”…เป็นการสะท้อนไว้เพื่ออธิบาย“ปัจจัยเสริมแรง”เกี่ยวกับ“วัฒนธรรมตัวแม่”ที่ว่านี้

กรณี “ตัวแม่” นี่ประธานมูลนิธิเครือข่ายเพื่อนกะเทยเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้สะท้อนเพิ่มเติมว่า… การที่คนข้ามเพศบางคนยอมอยู่ใต้อำนาจควบคุมหรือ “ยอมเป็นลูกน้องตัวแม่” นั้น มีสาเหตุ “จากความรู้สึกไม่ปลอดภัย” จนกระตุ้นให้ภายในกลุ่มเกิดกลไกหนึ่งขึ้นมา คือ “การมีแก๊งการเข้าแก๊ง” เพื่อจะได้รู้สึกปลอดภัย มีพรรคพวก รวมถึงที่ต้องมีแก๊ง-รวมแก๊งก็ เพื่อเปิดเผยตัวตนออกมาได้เต็มที่ เช่น เดินไปไหนมาไหนก็แสดงตัวตนได้โดยไม่ต้องปิดบังหรือเขินอายถ้าถามว่า…วัฒนธรรมย่อยแบบ “มาเฟีย” ดีไหม?? แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องดี แต่จุดที่น่าสนใจก็คือ “ทำไมต้องนำวัฒนธรรมมาเฟียมาใช้??”ซึ่ง…

เรื่องนี้สะท้อนภาพใหญ่สังคมเลย บ่งชี้ให้เห็นการเบียดขับของสังคมไทยที่กระทำต่อคนกลุ่มนี้มายาวนานต่อเนื่องตั้งแต่อดีต ซึ่งอดีตคนข้ามเพศจะถูกบีบให้เป็นคนกลุ่มน้อย เป็นคนเปราะบาง เป็นคนไม่ถูกยอมรับ ซึ่งพอเขาเริ่มมีพื้นที่ได้ ก็เลยทำให้เขาพยายามแสวงหาตัวตนและอำนาจ เพื่อสร้างพื้นที่ของตัวเองขึ้นมา”

ดร.รณภูมิ ระบุต่อไปว่า… เรื่องนี้ก็ควรเป็นบทเรียนให้กับสังคม ว่า…เมื่อไปเบียดขับคนบางกลุ่ม พอวันหนึ่งคนกลุ่มนี้เริ่มมีพื้นที่ได้ เริ่มมีตัวตนของตัวเองขึ้นมาได้ ก็ย่อมกลัวที่จะสูญเสียตัวตนหรือพื้นที่ไป ก็เลยยิ่ง พยายามทำทุกทางเพื่อจะสร้างและปกป้องพื้นที่ปลอดภัยของตัวเอง อย่างไรก็ตาม แต่ก็ต้องยอมรับว่าวิธีปกป้องพื้นที่ของตัวเองของบางคนบางกลุ่มเป็น “วิธีและการแสดงออกที่ผิด” โดยเฉพาะการ “ใช้ความรุนแรง”ซึ่งต้องรณรงค์เปลี่ยนทัศนคติกันต่อไป…

สังคมไทยเราอาจต้องเร่งทลายเปลือกปัญหานี้ แต่ข้อเท็จจริงที่เราทุกคนต้องยอมรับกันก็คือ สังคมไทยใช้ความรุนแรงแก้ปัญหามายาวนานมากในทุกระดับ ทำให้เรื่องนี้เป็นปัญหาที่ไม่สามารถแก้ได้เพียงชั่วข้ามคืน”

ทาง ดร.รณภูมิ ยังย้ำกับ “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” ว่า… ความรุนแรงนั้นไม่ว่าจะกับเพศใดก็ไม่ควรเกิด ไม่ว่าจะเพศชาย เพศหญิง หรือกลุ่มข้ามเพศ ทุกคนไม่มีใครยอมรับการใช้ความรุนแรงอยู่แล้ว ซึ่งถ้าเมื่อไหร่ใช้ความรุนแรง ก็ต้องเอากฎหมายไปจัดการ เพื่อให้เห็นว่าเป็นพฤติกรรมไม่เหมาะสม ไม่ควรทำ ซึ่งถ้ามี “มาตรการปราม” จะช่วยได้มากในเรื่องนี้…

ส่วนกรณีคนกลุ่ม LGBTQ+ รวมตัวไปจัดการรุ่นพี่ที่ใช้ความรุนแรงกับรุ่นน้อง นั่นคือการควบคุมกันเอง แต่ก็ไม่ควร เพราะเป็นการใช้กฎหมู่ และเสี่ยงทำให้เกิดความรุนแรงซ้ำซ้อน”…เป็นการย้ำเตือนจากนักวิชาการท่านนี้

แล้วจะทำเช่นไรดีกับปัญหาแบบนี้?… ประธานมูลนิธิเครือข่ายเพื่อนกะเทยเพื่อสิทธิมนุษยชนก็ได้แนะนำ โดยระบุว่า… ขอยกตัวอย่างกรณีข้างต้น ซึ่งหลายคนอาจจะรู้สึกสะใจกับวิธีจัดการคนทำผิด แต่ สิ่งที่อยากให้สังคมตระหนักก็คือความรุนแรงไม่ใช่ทางออกในการแก้ปัญหา ซึ่งยิ่งใช้ความรุนแรงตอบโต้ไม่เพียงไม่ใช่ทางแก้ปัญหาถาวร แต่จะยิ่งทำให้ปัญหายิ่งซับซ้อนมากขึ้นและก็อยากฝากถึงพี่น้องและเพื่อน LGBTQ+ ทุกคนว่า… ไม่ควรบูลลี่กลั่นแกล้งกันเอง แต่ควรหันมาสู้กับอคติที่เบียดขับจะเกิดประโยชน์มากกว่า รวมถึงทำให้เกิดพื้นที่ปลอดภัยด้วย…ทาง ดร.รณภูมิ ทิ้งท้ายไว้

เสนอ “แนวทางแก้ไขสกัดกั้นปัญหา”

โดยสังคม” ที่รวมถึงกลุ่ม LGBTQ+”

เพื่อ…“ตัดตอนภัยมาเฟียข้ามเพศ!!”.

ทีมสกู๊ปเดลินิวส์