กกต.ก็รับรองไปแล้ว คำร้องเกี่ยวกับคุณสมบัติของ สว.บางคนก็ยังคาอยู่ในสภา เช่น ใช้คุณสมบัติแนะนำตัวปลอม คือเรื่องมันไม่น่าจะยาก หลักฐานคาตาขนาดนั้น แต่ กกต.ก็ทำงานแบบต๊ะตอนยอนไปเรื่อย บอกซ้ำๆ ฝ่ายสำนักงานพิจารณาอยู่ เรียกหลักฐาน ต้องให้ความเป็นธรรม ไม่ได้นิ่งนอนใจ ฯลฯ จนมีเสียงเหน็บแนมแกมประชดว่า ลองเป็นผู้สมัครที่สนับสนุนพรรคส้มดูสิ คดีไม่อืดยืดยาดหรอก
ในที่สุดก็มีข่าวหลุดมา ว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ ( ดีเอสไอ ) ได้สอบคำร้องฮั้วเลือก สว. ซึ่งยื่นไปที่กรม 3 คำร้อง เนื่องจากพบเหตุอันควรสงสัยเกี่ยวกับการได้มาซึ่ง สว. ขอให้ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัครสมาชิก สว. สาย ข กลุ่มที่ 1 และกระบวนการเลือก สว. ที่อาจมีกรณีความผิดต่อกฎหมาย รวมทั้งตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัครสมาชิก สว. กลุ่มที่ 18 และคัดค้านการประกาศรับรองผลการเลือกสมาชิก สว.
ดีเอสไอได้ตั้งเลขสืบสวนที่ 151/2567 พิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำที่เกิดขึ้น อาจเข้าข่ายการกระทำผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 77(1) ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 (ความผิดฐานอั้งยี่) และความผิดฐานฟอกเงินตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542
พิจารณาจากพยานหลักฐานในชั้นนี้ ปรากฏข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่ามีขบวนการในรูปแบบคณะบุคคล มีการจัดตั้งเครือข่ายขบวนการซึ่งปกปิดวิธีการ มีวัตถุประสงค์เพื่อฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2561 วางแผนสลับซับซ้อน ทราบเฉพาะในกลุ่มขบวนการ กล่าวคือ ขบวนการได้จัดการให้มีผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภาของกลุ่มในระดับอำเภอ กลุ่มละ 5 คน รวม 100 คน ( สว.มี 20 กลุ่ม ) 928 อำเภอ (หลักเกณฑ์รอบเข้าเลือกได้ 5 คน) บางจังหวัดมีผู้สมัครจำนวนมาก สำหรับค่าตอบแทนนั้น ระดับอำเภอ จำนวน 5,000 บาท ระดับจังหวัด จำนวน 10,000 บาท และระดับประเทศ จำนวน 40,000-100,000 บาท และถ้าได้ สว.มากกว่า 120 คน จะได้เพิ่ม จำนวน 100,000 บาท
ผู้สื่อข่าวตรวจเชคข้อมูลเพิ่มเติม ว่า ผู้ลงคะแนนจะได้รับเงินเมื่อเลือกตามโพยที่มีผู้จัดการไว้ให้ โดยผู้จัดการจะถูกเรียกว่า “เทรนเนอร์” ซึ่งข้อมูลตรงนี้ได้จากผู้สมัครที่เข้าถึงรอบระดับประเทศ และเก็บเงินไว้เป็นหลักฐาน
หลังจากวันที่ 16 มิ.ย.2567 ภายหลังผ่านการคัดเลือกระดับจังหวัด ขบวนการได้นัดหมายผู้สมัคร สว. ระดับประเทศ ไปจัดทำโพยฮั้ว สว.ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดปทุมธานี และจังหวัดนครนายก ในวันที่ 24 มิ.ย.2567 เวลา 16.00 น. ซึ่งมีการจ่ายเงินสดเป็นมัดจำ จำนวน 20,000 บาท ส่วนที่เหลือได้รับภายหลังจาก กกต.รับรองผลเลือกแล้ว โพยฮั้ว สว. มีหมายเลขจำนวน 2 ชุด กลุ่มละ 7 คน รวม 140 คนและในการเลือก สว. ระดับประเทศ พบว่าขบวนการจัดตั้งมีจำนวนผู้สมัคร สว. ซึ่งอยู่ในขบวนการ จำนวนประมาณ 1,200 คน
ต่อมาเมื่อวันที่ 26 มิ.ย.2567 เวลา 05.00 น. ขบวนการได้แจกเสื้อสีเหลือง ให้กับผู้สมัคร สว.ระดับประเทศ และขบวนการได้อำนวยความสะดวกโดยจัดหารถตู้โดยสารให้เดินทางไปเมืองทองธานีเพื่อเลือก สว.ระดับประเทศ และผลการเลือก สว.ในรอบเช้าและรอบไขว้ เป็นไปตามโพยฮั้วทุกประการ โพยฮั้ว สว. 2 ชุด กลุ่มละ 7 คนนั้น พบว่าเป็นผู้ได้รับเลือกเป็น สว. จำนวน 138 คน และอยู่ในลำดับสำรอง 2 คน
ดีเอสไอชี้ว่า การกระทำความผิดของกลุ่มขบวนการในครั้งนี้ มุ่งหวังเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจนิติบัญญัติ กระทำผิดต่างกรรมต่างวาระ กระทำผิดต่อกฎหมายหลายฉบับ โดยทราบว่ามีการวางแผนมาตั้งแต่ก่อนเริ่มกระบวนการเลือก สว. ต่อเนื่องมาจนถึงภายหลังจากการเลือก สว.เสร็จสิ้นแล้ว มีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรม มีการแบ่งแยกหน้าที่ มีฝ่ายไอทีเตรียมโปรแกรมคำนวณการลงคะแนน ออกเป็นโพยฮั้วเพื่อให้ได้ผลลัพธ์จำนวน สว.ตามที่ต้องการ เตรียมบุคคลที่มาลงคะแนนที่เรียกว่ากลุ่ม “พลีชีพ” ดังนั้น ในการดำเนินการกับขบวนการดังกล่าว จึงต้องใช้วิธีการสืบสวนสอบสวนเป็นพิเศษ ซึ่งอยู่ในเงื่อนไขตามกฎหมายที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ จะรับดำเนินการสอบสวนเป็นคดีพิเศษได้
นอกจากนี้ พยานสำคัญอาจจำเป็นต้องเข้าสู่กระบวนการให้ความคุ้มครองพยาน เพราะเหตุที่พยานอาจเกรงกลัวต่ออันตรายแก่ชีวิตร่างกาย ซึ่งดีเอสไอต้องทำหนังสือถามไปยัง กกต.ว่า ประสงค์จะให้ดีเอสไอดำเนินคดีที่ผิดกฎหมายข้อใดบ้าง ….ความคืบหน้าล่าสุด คือ ทาง กกต.โดยนายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. แจ้งกลับไปว่า ยังไม่ได้นำเสนอเรื่องให้ กกต. พิจารณา เนื่องจากยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าดีเอสไอรับเรื่องไว้พิจารณาแล้วหรือไม่
อ่านมาถึงตรงนี้อาจมีคนขัดใจกับ กกต. ก็เขาสอบไปจนได้ผลเบื้องต้นมาขนาดนี้แล้ว ยังไม่ทราบว่าดีเอสไอรับเรื่องไว้พิจารณาแล้วหรือไม่ แต่ก็เอาเถอะ..สไตล์ของราชการ คือต้องมีหนังสือเป็นทางการกันมา แล้วต้องเข้าตามกระบวนการขั้นตอน ผิดตรงไหนจะได้หาผู้รับผิดชอบถูก ..ก็เอาเป็นว่า ให้รอดูวันที่ 25 ก.พ. คณะกรรมการคดีพิเศษ ( กคพ.) ที่มีบิ๊กอ้วน ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและ รมว.กลาโหม เป็นประธาน พ.ต.อ.ทวี สองส่อง รมว.ยุติธรรม เป็นรองประธาน และมีกรรมการโดยตำแหน่งกับที่ปรึกษาอีกจำนวนหนึ่ง จะรับเรื่องนี้ไว้เป็นคดีพิเศษหรือไม่
( ถ้ารับ ก็รอดูแรงกระเพื่อมทางการเมืองดีๆ เพราะประธาน กคพ. คือผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทย ที่เคยได้ฉายา “ลองนายกฯ” สมัยรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน คือทำอะไรๆ แทนนายกฯได้ ..ส่วน สว.นั้นถูกเรียกว่า สว.สีน้ำเงิน เพราะถูกวิจารณ์ว่า มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับพรรคภูมิใจไทย ตอนนี้เพื่อไทยกับภูมิใจไทยข้ามจากขั้น..หยิกเล็บเจ็บเนื้อ..ไปถึงหยุมหัวกันแล้ว ถ้าภูมิธรรมรับเรื่อง สว.เป็นคดีพิเศษ เราอาจได้เห็นการตอบโต้แบบตีวัวกระทบคราดจาก 2พรรคอีก )
จากนั้นก็ส่งมาที่ กกต. ให้สำนักงาน กกต.รอบรรจุระเบียบวาระเข้าที่ประชุมใหญ่ กกต. ซึ่งก็หวังว่าไม่นาน ดีเอสไอเขาก็แจ้งแล้วว่า มีความผิดนอกจาก พ.ร.ป.การได้มาซึ่ง สว. ที่ดีเอสไอสอบได้อยู่ แต่ก็ต้องรอ กกต. ถกกันอีกว่าจะสอบเองหรือให้ดีเอสไอสอบ เพราะอาจมีการอ้างอำนาจว่า กกต.สอบทั้งหมดได้เพราะสามารถทำสำนวนส่งอัยการได้ด้วย แต่ถ้าความผิดมันเกินกว่า พ.ร.ป.ได้มาซึ่ง สว. ส่วนความผิดอาญา กกต.ก็ควรให้ดีเอสไอสอบไปเพื่อคดีรวดเร็ว ..ซึ่งคนทำข่าวกำลังทายว่า เรื่องนี้จะถูก กกต.ดึงเช็งไว้หรือไม่ ด้วยการท่องคาถา “อยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งเราไม่ได้นิ่งนอนใจ”
ถ้าเกิดดีเอสไอรับเรื่องสอบ เราก็มาทายฉากทรรศน์การเมืองต่อจากนี้กันเล่นๆ ดีกว่า
เกิดว่า ดีเอสไอรับคดีขึ้นมา แล้วมีมติส่งอัยการสั่งฟ้องว่า กระบวนการได้มาซึ่ง สว.ไม่สุจริตเที่ยงธรรม ก็ต้องดูที่สำนวน ว่า ส่งฟ้องเฉพาะกลุ่มชักใยเบื้องหลังที่เรียกว่า “เทรนเนอร์” ฟ้องล้มทั้งกระบวนการ หรือเอาผิดเฉพาะ 138 คน บัญชีสำรอง 2 คนที่พบชื่อในโพยฮั้ว ถ้าศาลประทับรับฟ้อง ก็จะเป็นดุลยพินิจของศาล ว่า จะพักงาน สว.หรือไม่
ซึ่งการทำคดีในเมืองไทยมันไม่ได้เร็ว ถ้าเกิดศาลพักงาน สว. เอาเฉพาะ 138 คนก็ได้ คือ“เละ” สภานิติบัญญัติเดินต่อไม่ได้ เพราะไม่มีสภาสูง กฎหมายระดับพระราชบัญญัติผ่านไม่ได้ ที่สะเทือนที่สุดคือกฎหมายงบประมาณจะผ่านไม่ได้เอาเสียด้วย และเลื่อนบัญชีสำรองขึ้นมาไม่ได้ด้วย เพราะไปละเมิดสิทธิ์ผู้ที่ถูกสอบสวนอยู่
การเมืองติดล็อคทันทีเมื่อฝ่ายนิติบัญญัติทำงานไม่ได้ เอาแค่งบประมาณผ่านไม่ได้รัฐบาลก็ไม่มีเงินจ่ายรายจ่ายประจำ รายจ่ายลงทุน ไปจนถึงว่า ถ้าไม่มีสภาสูง รัฐบาลก็ออก พ.ร.บ.อะไรเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้ ตามระบบตรวจสอบคานอำนาจ เหลือแค่การออกพระราชกฤษฎีกาและกฎกระทรวง
นายคารม พลพรกลาง สมาชิกพรรคภูมิใจไทย บอกทำนองว่า ดีเอสไอจะสอบและมีผลให้ล้มกระบวนการจัดตั้ง สว.ไม่ได้ เพราะละเมิดอำนาจประชาชน และต่อไปจะลามไปล้มการเลือกตั้ง สส.หรือไม่ ..แต่ถ้าย้อนดูประวัติศาสตร์การเมือง เขาล้มเลือกตั้ง สส.กันมาแล้ว ตอนเลือกตั้งปี 49 นั่นไง ที่ศาลปกครองสั่งให้การเลือกตั้งไม่สุจริตเที่ยงธรรม เนื่องจากการหันคูหาออกนอก ทำให้เห็นบัตรเลือกตั้งได้ ไม่เป็นความลับ และก็มีกระบวนการเอาผิดลามไปถึง กกต.ชุด พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ …ดังนั้น อย่าด่วนสรุปว่า การเลือกตั้ง สส. หรือการเลือก สว.มันจะล้มไม่ได้
ถ้าเกิดศาลฎีกาตัดสินว่า มีคนผิดในการเลือก สว. ก็น่าจะมีการยื่นร้องต่อศาลปกครอง ล้มกระบวนการเลือก สว.ครั้งที่ผ่านมา แต่ปัญหาคือ เลือกใหม่ก็หาหลักกลเหตุผลาญมาบล็อกให้ได้คนของตัวเองอีกล่ะ อำนาจหนึ่งของ สว.ที่พรรคการเมืองต้องการมาก คือการเลือกกรรมการองค์กรอิสระ ..ดังนั้น ถ้าจะหา สว.ใหม่ ก็น่าจะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อกำหนดวิธีเลือก สว.ใหม่ก่อน เอาแบบปี 40 ก็ดูจะเข้าที แบ่งเป็นเขตจังหวัด
แต่จะแก้รัฐธรรมนูญ จะรายมาตราหรือทั้งฉบับ ถ้าเกิดตอนนั้น 1.ไม่มี สว.ถึงกึ่งหนึ่ง เพราะโดนเอาผิดไป 138 คน 2.ไม่มี สว.เลยเพราะกระบวนการได้มาซึ่ง สว.มิชอบ ก็แก้รัฐธรรมนูญไม่ได้ คาอยู่นี่แหละ…และถ้าเกิดกระบวนการได้มาซึ่ง สว.มิชอบ ก็มีนักร้องไปยื่นต่อ ป.ป.ช.เอาผิด กกต.ได้ ถ้าโดนพักงานทั้งคณะ ก็ไม่มี กกต.มาจัดเลือกตั้ง จัดเลือก สว.จัดประชามติ สว.ที่จะเลือก กกต.ก็ไม่อยู่ เอาสิ… ถึงภาวะนั้นจริงคงสนุกกันใหญ่ ไปทางไหนก็ติดล็อค
ก็ขออย่าให้ประเทศไทยไปถึงภาวะนั้นเลย ไม่งั้นอำนาจนอกระบบแทรกแซงได้.
………………………………………………………
คอลัมน์ : ที่เห็นและเป็นอยู่
โดย “บุหงาตันหยง”